ทำความรู้จักกับโรคไบโพลาร์ (Bipolar Disorder)

ทำความรู้จักกับโรคไบโพลาร์ (Bipolar Disorder)

โรคไบโพลาร์ หรือที่หลายคนรู้จักกันในชื่อ "โรคสองขั้วอารมณ์" เป็นภาวะที่ทำให้ผู้ป่วยมีอารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ อย่างรุนแรง อาจมีช่วงที่รู้สึกดีสุดขีด (ภาวะแมนิก) หรือบางครั้งอารมณ์ตกต่ำจนรู้สึกหมดหวัง (ภาวะซึมเศร้า) โรคนี้ไม่ใช่แค่การเปลี่ยนอารมณ์ปกติ แต่เป็นความผิดปกติของสมองที่ต้องการการดูแลรักษาอย่างจริงจัง

อาการของโรคไบโพลาร์

ผู้ที่เป็นโรคไบโพลาร์จะมีอาการแสดงในช่วงที่อารมณ์ "ขึ้น" และ "ลง" ซึ่งมีอาการที่แตกต่างกันออกไปในแต่ละช่วง เช่น:

  • ภาวะแมเนีย (อารมณ์ขาขึ้น): ความรู้สึกมีพลังเหลือเฟือ พูดมากขึ้น จิตใจตื่นเต้น หรือทำสิ่งต่างๆ อย่างหุนหันพลันแล่น
  • ภาวะซึมเศร้า (อารมณ์ขาลง): ความรู้สึกท้อแท้ หมดแรง หรือมีความคิดที่เครียดและสิ้นหวัง

สาเหตุและปัจจัยเสี่ยง

ถึงแม้ว่าโรคไบโพลาร์จะยังไม่สามารถหาสาเหตุที่ชัดเจนได้ แต่ปัจจัยที่อาจเกี่ยวข้องได้แก่:

  • พันธุกรรม: มีโอกาสเกิดในคนที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคนี้
  • การเปลี่ยนแปลงของสารเคมีในสมอง: การทำงานของสารเคมีบางชนิดในสมองอาจส่งผลต่ออารมณ์
  • เหตุการณ์เครียดในชีวิต: เช่น การสูญเสียคนรัก หรือความเครียดจากปัญหาทางการงาน

การรักษาโรคไบโพลาร์

การรักษาโรคไบโพลาร์ต้องใช้วิธีการที่ครอบคลุม ทั้งการใช้ยารักษาและการบำบัดทางจิตเวช โดยการใช้ยาควบคุมอารมณ์จะช่วยให้ผู้ป่วยมีอารมณ์ที่คงที่และลดอาการซึมเศร้าหรือแมนิกได้ ส่วนการบำบัดทางจิตเวช เช่น การบำบัดด้วยการพูด (Cognitive Behavioral Therapy) จะช่วยให้ผู้ป่วยเรียนรู้วิธีจัดการกับความคิดและพฤติกรรมที่ผิดปกติ

ข้อควรระวังและคำแนะนำ

การรับการรักษาอย่างต่อเนื่องและสม่ำเสมอเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผู้ที่เป็นโรคไบโพลาร์ เพราะโรคนี้มักจะมีการกลับเป็นซ้ำ การดูแลตัวเอง เช่น การนอนหลับให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และหลีกเลี่ยงความเครียดสามารถช่วยเสริมสร้างสุขภาพจิตที่ดีขึ้นได้

สอบถามเพิ่มเติมได้ที่คลินิกจิตเวช โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี 039-319888

บทความที่เกี่ยวข้อง

7 โรคจิตเวชที่พบบ่อย

7 โรคจิตเวชที่พบบ่อย

7 โรคจิตเวชที่พบบ่อย โรคจิตเวช คือกลุ่มอาการทางจิตใจหรือพฤติกรรมที่ทำให้ผู้ป่วยมีความบกพร่องในกิจวัตรต่าง ๆ หรือเกิดความทุกข์ทรมาน ซึ่งหลายคนไม่รู้ว่าตัวเองป่วย หรือบางคนรู้แต่ไม่มาพบแพทย์ ทำให้อาการหนักขึ้นเรื่อย ๆ จนนำไปสู่ภาวะแทรกซ้อนที่อันตรายถึงชีวิต โดยโรคจิตเวชที่พบบ่อยการสังเกตอาการคนรอบข้างรวมถึงตัวเองเกี่ยวกับโรคจิตเวชเป็นเรื่องสำคัญ หากพบความผิดปกติหรือส่งผลกระทบต่อการใช้ชีวิต ควรรีบปรึกษาจิตแพทย์เพื่อวินิจฉัยและวางแผนรักษาก่อนอาการรุนแรง #โรคซึมเศร้า (Depression) #โรคแพนิก (Panic Disorder) #โรคจิตเภท (Schizophrenia) #โรคเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนใจ (Post-Traumatic Stress Disorder) #โรคไบโพลาร์หรือโรคอารมณ์สองขั้ว (Bipolar Disorder) #โรคสมองเสื่อม (Dementia) #โรคกลัวแบบเฉพาะเจาะจง (Phobias) ผู้ป่วยที่มีอาการทางจิตนั้นต้องการ ความรักและความเข้าใจจากครอบครัว คนใกล้ชิด และสังคม เมื่อผู้ป่วยได้รับการบำบัดรักษาอย่างถูกต้องจะสามารถใช้ชีวิตได้อย่างปกติ ดูแลตนเองได้ เข้าสังคม และทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ Call Center : 039 319 888 ฉุกเฉิน 1719 ช้อปออนไลน์คลิก https://bangkokhospitalchanthaburi.com/shop ทำแบบประเมินความเสี่ยงสุขภาพ คลิก https://bangkokhospitalchanthaburi.com/Includes...

ซึมเศร้า

ซึมเศร้า

สัญญาณเตือนโรคซึมเศร้า อารมณ์ซึมเศร้าท้อแท้ สิ้นหวัง ในเด็กและวัยรุ่นอาจเป็นอารมณ์หงุดหงิด ขาดความสนใจหรือความเพลิดเพลินในการทำกิจกรรมต่าง ๆ เบื่ออาหารหรืออยากอาหารมากขึ้น นอนมากหรือนอนน้อยกว่าปกติ กระสับกระส่าย กระวนกระวาย หรือเชื่องช้าลง เหนื่อยและอ่อนเพลีย ไม่มีเรี่ยวแรงอยู่เกือบตลอด รู้สึกตนเองไร้ค่า รู้สึกผิดและโทษตนเองอยู่ตลอด สมาธิและความสามารถในการคิดและการตัดสินใจลดลง คิดเรื่องตายหรือคิดอยากตาย “ถ้าพบผู้ใดมีความคิดอยากตายหรืออาการของโรคซึมเศร้า 5 อาการหรือมากกว่า 5 อาการข้างต้นที่กล่าวมา เป็นต่อเนื่องไม่น้อยกว่า 2 สัปดาห์ และส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน เช่น การทำงาน การเรียน แนะนำรีบมาพบแพทย์ ให้ได้รับการตรวจและช่วยเหลือโดยเร็ว เพื่อผลดีต่อทั้งตัวผู้ป่วยเองและคนรอบข้าง” สอบถามเพิ่มเติมได้ที่คลินิกจิตเวช โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี 039-319888

โรคซึมเศร้าในผู้สูงอายุ

โรคซึมเศร้าในผู้สูงอายุ

โรคซึมเศร้าไม่ใช่แค่ปัญหาที่พบในวัยหนุ่มสาวหรือวัยกลางคนเท่านั้น แต่ยังเป็นปัญหาสุขภาพจิตที่พบได้ในผู้สูงอายุด้วย แม้ว่าอาการซึมเศร้าจะมักถูกมองข้ามหรือเข้าใจผิดว่าเป็นแค่ "ความแก่" หรือ "ความเหงา" แต่ความจริงแล้วโรคซึมเศร้าในผู้สูงอายุสามารถส่งผลกระทบต่อคุณภาพชีวิตและสุขภาพร่างกายได้อย่างรุนแรง หากไม่ได้รับการรักษาอย่างถูกต้อง ทำไมผู้สูงอายุถึงเสี่ยงเป็นโรคซึมเศร้า? ผู้สูงอายุอาจเผชิญกับหลายปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงในการเป็นโรคซึมเศร้า เช่น: การสูญเสียคนรัก: การเสียคู่ชีวิต หรือคนใกล้ชิดอาจทำให้เกิดความรู้สึกเศร้าและท้อแท้ ปัญหาสุขภาพ: โรคเรื้อรังหรือความเจ็บป่วยที่ไม่สามารถรักษาหายได้อาจทำให้รู้สึกหมดหวัง การเปลี่ยนแปลงในชีวิต: การเกษียณจากการทำงาน หรือการขาดการมีส่วนร่วมในกิจกรรมทางสังคมทำให้รู้สึกเหงาหรือไร้ค่า การลดลงของสมรรถภาพทางร่างกาย: ความสามารถในการเคลื่อนไหวลดลงหรือการสูญเสียอิสรภาพอาจเพิ่มความรู้สึกไม่พอใจในชีวิต อาการของโรคซึมเศร้าในผู้สูงอายุ โรคซึมเศร้าในผู้สูงอายุอาจมีอาการที่แตกต่างจากคนหนุ่มสาว โดยอาจไม่แสดงออกมาเป็นความเศร้าเสมอไป แต่จะมีอาการอื่นๆ ที่ควรสังเกต เช่น: การเปลี่ยนแปลงในพฤติกรรม: ไม่สนใจหรือหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่เคยชอบ เช่น การพบปะกับเพื่อน หรือการออกไปข้างนอก ปัญหาการนอนหลับ: นอนไม่หลับหรือตื่นขึ้นบ่อยครั้งในเวลากลางคืน อ่อนเพลียหรือไม่มีพลัง: รู้สึกเหนื่อยล้าและไม่สามารถทำกิจวัตรประจำวันได้อย่างปกติ การลดความอยากอาหาร: การเบื่ออาหารหรือการทานอาหารน้อยลงจนส่งผลต่อสุขภาพร่างกาย ความรู้สึกไร้ค่า: รู้สึกตัวเองไม่มีประโยชน์หรือไม่มีความหมายในชีวิต การรักษาโรคซึมเศร้าในผู้สูงอายุ โรคซึมเศร้าในผู้สูงอายุสามารถรักษาได้ และการรักษามักต้องใช้วิธีที่หลากหลาย ได้แก่: การบำบัดทางจิตวิทยา: การพูดคุยหรือการทำจิตบำบัดสามารถช่วยให้ผู้สูงอายุเรียนรู้วิธีจัดการกับความรู้สึกเศร้าและท้อแท้ได้ การใช้ยา: ยาต้านเศร้าหรือยาตามคำแนะนำจากแพทย์สามารถช่วยปรับสมดุลของสารเคมีในสมอง และลดอาการเศร้า การสนับสนุนทางสังคม: การมีการสนับสนุนจากครอบครัวและเพื่อนฝูงในการส่งเสริมการมีส่วนร่วมในกิจกรรมสังคมสามารถช่วยลดความเหงาและเพิ่มความสุขได้ การปรับกิจวัตรประจำวัน: การออกกำลังกาย การมีเวลาพักผ่อนที่เพียงพอ และการทำกิจกรรมที่ชอบสามารถช่วยฟื้นฟูทั้งร่างกายและจิตใจ ทำไมการรับการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ ถึงสำคัญ? โรคซึมเศร้าในผู้สูงอายุมักจะถูกมองข้ามหรือถูกตีความว่าเป็นเรื่องธรรมชาติของวัยชรา แต่หากปล่อยทิ้งไว้นานโดยไม่รักษา อาจนำไปสู่ปัญหาสุขภาพที่รุนแรง เช่น ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ หรือแม้กระทั่งอาการสมองเสื่อม นอกจากนี้ ผู้สูงอายุที่มีอาการซึมเศร้ายังเสี่ยงต่อการทำร้ายตัวเอง ดังนั้นการรับการรักษาตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยให้ผู้ป่วยมีโอกาสฟื้นฟูและกลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นได้ สรุป: อย่าปล่อยให้โรคซึมเศร้าแย่งความสุขในวัยเกษียณ การดูแลสุขภาพจิตเป็นสิ่งสำคัญไม่แพ้การดูแลสุขภาพร่างกาย โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ การตระหนักถึงอาการของโรคซึมเศร้าและขอรับการรักษาอย่างทันท่วงทีจะช่วยให้ผู้สูงอายุสามารถใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุขและสมดุลมากขึ้น หากคุณหรือคนในครอบครัวเริ่มมีอาการซึมเศร้า อย่ารอช้า เริ่มต้นการรักษาเพื่อกลับมามีชีวิตที่มีความสุข สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ 039-319888

สุขภาพจิตและจิตเวช

สุขภาพจิตและจิตเวช

สุขภาพจิตเป็นส่วนสำคัญของคุณภาพชีวิต แต่หลายคนยังมีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับมัน วันนี้เราจะมาพูดถึงประเด็นที่สำคัญเพื่อช่วยให้ทุกคนเข้าใจจิตเวชมากขึ้น 1. จิตเวชคืออะไร? จิตเวชคือสาขาหนึ่งของการแพทย์ที่มุ่งเน้นการวินิจฉัยและรักษาโรคทางจิตใจ เช่น โรคซึมเศร้า โรควิตกกังวล และโรคจิตเภท โดยการดูแลสุขภาพจิตช่วยให้เรามีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น 2. สัญญาณที่ควรระวัง ควรใส่ใจเมื่อพบว่าตัวเองหรือคนรอบข้างมีสัญญาณเช่น: รู้สึกเศร้าหรือว้าเหว่ต่อเนื่อง ขาดความสนใจในกิจกรรมที่เคยชอบ นอนไม่หลับหรือนอนมากเกินไป รู้สึกวิตกกังวลหรือกลัวในสิ่งเล็กน้อย 3. การรักษาและการสนับสนุน การรักษาโรคทางจิตใจมีหลายวิธี เช่น: การบำบัดด้วยการพูด (Psychotherapy) เช่น การบำบัดแบบ CBT การใช้ยา ที่ได้รับการวินิจฉัยจากแพทย์ การสนับสนุนจากครอบครัวและเพื่อน เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกมีคุณค่าและไม่โดดเดี่ยว 4. การดูแลสุขภาพจิตในชีวิตประจำวัน การดูแลสุขภาพจิตไม่จำเป็นต้องรอจนถึงช่วงเวลาที่เรารู้สึกแย่ เราสามารถทำได้โดย: ออกกำลังกายเป็นประจำ นอนหลับให้เพียงพอ ใช้เวลาทำกิจกรรมที่ชอบ ฝึกการทำสมาธิหรือลดความเครียด 5. ขอความช่วยเหลือเมื่อจำเป็น หากคุณหรือคนที่คุณรักรู้สึกว่าไม่สามารถจัดการกับอารมณ์หรือความเครียดได้ อย่าลังเลที่จะขอความช่วยเหลือจากผู้เชี่ยวชาญด้านสุขภาพจิต เพราะการรับมือกับปัญหานี้ไม่ใช่เรื่องน่าอาย แต่เป็นขั้นตอนสำคัญในการดูแลตัวเอง สอบถามเพิ่มเติมได้ที่คลินิกจิตเวช โรงพยา่บาลกรุงเทพจันทบุรี 039-319888

โรคเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนใจ (PTSD)

โรคเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนใจ (PTSD)

โรคเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนใจ (PTSD) คืออะไร? โรคเครียดหลังเหตุการณ์สะเทือนใจ หรือ PTSD (Post-Traumatic Stress Disorder) คือ ภาวะทางจิตที่เกิดขึ้นหลังจากที่บุคคลประสบกับเหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจอย่างรุนแรง เช่น อุบัติเหตุร้ายแรง การถูกทำร้ายทางร่างกายหรือจิตใจ, หรือการเผชิญกับภัยธรรมชาติที่ไม่คาดคิด เช่น สึนามิ หรือแผ่นดินไหว แม้ว่าเหตุการณ์เหล่านี้จะผ่านไปแล้ว แต่บางคนอาจยังคงรู้สึกเหมือนกลับไปอยู่ในเหตุการณ์นั้นซ้ำ ๆ จนกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวันของพวกเขา PTSD ไม่ใช่แค่ความรู้สึกเศร้าเสียใจชั่วคราว แต่เป็นภาวะที่สามารถทำให้เกิดอาการทางจิตที่ยืดเยื้อและส่งผลต่อความสามารถในการทำงานและการมีความสัมพันธ์ที่ดีในสังคม อาการของ PTSD ผู้ที่มีภาวะ PTSD มักจะมีอาการต่าง ๆ ที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน ซึ่งรวมถึง: ความทรงจำที่รุกราน (Intrusive Memories): เช่น การจำภาพเหตุการณ์ที่เคยเผชิญซ้ำ ๆ หรือการฝันร้ายเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อาการหวาดระแวง (Hyperarousal): รู้สึกตื่นตัวตลอดเวลา ตกใจง่าย หรือมีปัญหาการนอนหลับ หลีกเลี่ยงสถานการณ์ (Avoidance): หลีกเลี่ยงสถานที่ ผู้คน หรือกิจกรรมที่เชื่อมโยงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น อารมณ์หดหู่และหมดหวัง (Negative Mood): รู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถมีความสุขได้ หรือรู้สึกห่างเหินจากคนรอบข้าง สาเหตุที่ทำให้เกิด PTSD การเกิด PTSD นั้นมีหลายปัจจัยที่เกี่ยวข้อง ซึ่งไม่จำเป็นต้องเป็นทุกคนที่เผชิญกับเหตุการณ์สะเทือนใจจะมีอาการนี้ สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิด PTSD ได้แก่: ลักษณะของเหตุการณ์: เหตุการณ์ที่กระทบกระเทือนจิตใจรุนแรง เช่น การสูญเสียบุคคลใกล้ชิดอย่างกะทันหัน การถูกทำร้าย หรือเหตุการณ์รุนแรงทางธรรมชาติ ประสบการณ์ในวัยเด็ก: ผู้ที่เคยมีประสบการณ์การถูกทารุณกรรมในวัยเด็กมักมีความเสี่ยงที่จะพัฒนา PTSD ความช่วยเหลือจากสังคม: คนที่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากครอบครัวหรือเพื่อนฝูงอาจมีความเสี่ยงสูงขึ้นในการพัฒนา PTSD พันธุกรรม: บางครั้งอาการ PTSD อาจเกี่ยวข้องกับพันธุกรรม โดยการตอบสนองต่อความเครียดอาจแตกต่างกันในแต่ละบุคคล วิธีการรักษา PTSD โชคดีที่ PTSD สามารถรักษาได้ และการได้รับการดูแลที่เหมาะสมสามารถช่วยให้ผู้ที่เป็นโรคนี้กลับมาดำเนินชีวิตได้ตามปกติ โดยวิธีการรักษามีหลายแบบ ได้แก่: การบำบัดทางจิตวิทยา (Psychotherapy): การบำบัด เช่น การบำบัดความรู้ความเข้าใจและพฤติกรรม (Cognitive Behavioral Therapy หรือ CBT) ซึ่งช่วยให้ผู้ป่วยสามารถเข้าใจและจัดการกับความคิดและอารมณ์ที่เกิดขึ้นหลังจากเหตุการณ์สะเทือนใจ การใช้ยา: ยาบางชนิด เช่น ยาต้านซึมเศร้า อาจช่วยลดอาการวิตกกังวลและอาการที่เกี่ยวข้องกับ PTSD การสนับสนุนจากสังคม: การมีครอบครัวหรือเพื่อนที่พร้อมให้การสนับสนุนสามารถช่วยให้ผู้ป่วยรู้สึกมีความมั่นคงและลดความเครียด การป้องกัน PTSD แม้ว่าจะไม่สามารถป้องกัน PTSD ได้ 100% แต่การได้รับการสนับสนุนที่ดีตั้งแต่แรกเริ่มของการประสบเหตุการณ์สะเทือนใจอาจช่วยลดความรุนแรงของอาการและช่วยให้คนเราฟื้นฟูได้เร็วขึ้น การพูดคุยกับผู้เชี่ยวชาญ หรือเข้าร่วมกลุ่มสนับสนุนหลังจากเหตุการณ์สำคัญสามารถช่วยให้กระบวนการฟื้นตัวเกิดขึ้นได้เร็วขึ้น สรุป โรค PTSD เป็นภาวะที่เกิดขึ้นจากการเผชิญกับเหตุการณ์สะเทือนใจที่รุนแรง ซึ่งส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตประจำวันของผู้ป่วย แต่หากได้รับการรักษาที่เหมาะสม ผู้ป่วยสามารถฟื้นฟูและกลับมามีชีวิตที่มีความสุขได้ การเข้าใจและรับการสนับสนุนจากคนรอบข้างจึงเป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถกลับมายืนหยัดในสังคมได้อีกครั้ง. นัดหมายแพทย์และปรึกษาเพิ่มเติมได้ที่ 039-319888

ซึมเศร้าหลังคลอด

ซึมเศร้าหลังคลอด

การมีลูก คือช่วงเวลาที่เต็มไปด้วยความสุขและการเริ่มต้นใหม่ แต่สำหรับผู้หญิงบางคน ความรู้สึกดีๆ นี้อาจถูกแทรกแซงด้วยอารมณ์ที่ซับซ้อนและเศร้าหมอง โดยเฉพาะในช่วงหลังคลอด ซึ่งอาจเป็นภาวะที่เรียกว่า "ซึมเศร้าหลังคลอด" (Postpartum Depression) ที่สามารถส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของคุณแม่และความสัมพันธ์กับลูกน้อยได้ อาการของซึมเศร้าหลังคลอด ซึมเศร้าหลังคลอดไม่ได้หมายถึงแค่ความเศร้าเบื้องต้นที่ทุกคนรู้สึกหลังจากคลอดลูก (หรือที่เรียกว่า "baby blues") แต่เป็นภาวะที่รุนแรงและยาวนานกว่านั้น โดยมีอาการที่ชัดเจน เช่น: ความรู้สึกเศร้าและหมดกำลังใจ: รู้สึกว่าตัวเองไม่สามารถรับมือกับความรับผิดชอบในการเลี้ยงลูกได้ การเบื่อหน่ายหรือไม่สนใจสิ่งต่างๆ: ไม่อยากทำกิจกรรมที่เคยชอบ หรือไม่อยากดูแลตัวเอง ความวิตกกังวลหรือกลัว: กลัวว่าจะทำให้ลูกได้รับผลกระทบจากการเลี้ยงดู อารมณ์แปรปรวน: อารมณ์ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วระหว่างการร้องไห้และความรู้สึกท้อแท้ การนอนไม่หลับหรือเหนื่อยล้ามาก: แม้จะมีเวลานอนบ้างก็ยังรู้สึกอ่อนเพลีย ความรู้สึกไร้ค่า: รู้สึกตัวเองเป็นแม่ที่แย่ หรือรู้สึกผิดที่ไม่สามารถดูแลลูกได้ดีเท่าที่ควร ทำไมบางคนถึงมีซึมเศร้าหลังคลอด? การเกิดภาวะซึมเศร้าหลังคลอดสามารถเกิดจากหลายปัจจัยร่วมกัน เช่น: การเปลี่ยนแปลงทางฮอร์โมน: หลังจากคลอด ร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลงฮอร์โมนอย่างรวดเร็ว ซึ่งอาจส่งผลต่ออารมณ์ ความเครียดจากการเลี้ยงลูก: ความเหนื่อยล้าและการรับผิดชอบที่มากขึ้นอาจทำให้รู้สึกท่วมท้น การขาดการสนับสนุนจากครอบครัว: หากไม่มีคนคอยช่วยเหลือ อาจทำให้ความรู้สึกเหงาหรือเครียดเพิ่มขึ้น ประวัติการเป็นโรคซึมเศร้าหรือวิตกกังวล: หากมีประวัติทางจิตใจมาก่อน การมีซึมเศร้าหลังคลอดอาจมีโอกาสเกิดขึ้นสูงกว่า การรักษาซึมเศร้าหลังคลอด ซึมเศร้าหลังคลอดสามารถรักษาได้ และการรับการช่วยเหลือตั้งแต่เนิ่นๆ จะช่วยให้คุณแม่ฟื้นฟูได้เร็วขึ้น ซึ่งวิธีการรักษามีดังนี้: การบำบัดทางจิตวิทยา: การพูดคุยกับนักจิตวิทยาหรือผู้ให้คำปรึกษา เพื่อช่วยให้จัดการกับอารมณ์และความคิดที่เป็นลบ การใช้ยา: ในบางกรณีที่อาการรุนแรง แพทย์อาจแนะนำการใช้ยา antidepressants เพื่อช่วยปรับสมดุลของสารเคมีในสมอง การสนับสนุนจากคนใกล้ชิด: การมีคนในครอบครัวหรือเพื่อนที่ช่วยดูแลลูกและช่วยให้กำลังใจมีส่วนสำคัญในการลดความเครียด การดูแลตัวเอง: การพักผ่อนให้เพียงพอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และออกกำลังกายเล็กน้อย เช่น การเดินเล่น จะช่วยให้ฟื้นฟูร่างกายและจิตใจ เมื่อไรควรขอความช่วยเหลือ? หากคุณแม่รู้สึกว่าอาการซึมเศร้าหลังคลอดเริ่มส่งผลกระทบต่อชีวิตประจำวัน หรือทำให้การเลี้ยงลูกเป็นภาระที่หนักเกินไป ควรขอคำปรึกษาจากแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญทันที อย่าปล่อยให้ความเศร้าคุมชีวิตและความสุขในครอบครัวไป สรุป: ซึมเศร้าหลังคลอดสามารถรักษาได้ ซึมเศร้าหลังคลอดเป็นภาวะที่สามารถเกิดขึ้นได้กับคุณแม่ทุกคน แต่สิ่งสำคัญคือต้องรู้จักสังเกตสัญญาณและขอความช่วยเหลือโดยเร็วที่สุด การรับการรักษาอย่างเหมาะสมจะช่วยให้คุณแม่ฟื้นฟูได้เร็วขึ้นและกลับมามีชีวิตที่มีความสุขกับลูกน้อยได้อย่างสมบูรณ์ คลินิกสุขภาพจิต โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี 039-319888

Hospital Logo

ติดต่อสอบถามเจ้าหน้าที่

บริการให้คำปรึกษาตลอด 24 ชั่วโมง