เครียดมาก...เสี่ยงต่อมหมวกไตล้า

เครียดมาก...เสี่ยงต่อมหมวกไตล้า

ด้วยภาระที่แต่ละคนแบกไว้บนบ่าไม่เหมือนกันและเกิดขึ้นได้ทุกเพศทุกวัย ล้วนนำไปสู่ 'ภาวะเสพติดความเครียด' (Adrenal addict) และคนส่วนมากที่มีภาวะนี้ในระยะแรกมักจะไม่รู้ตัวเนื่องจากร่างกายมีความทนทานสูงต่อกับความเครียดที่เข้ามาในแต่ละวันได้ รู้ตัวอีกทีก็ล้มป่วย ติดเชื้อเฉียบพลันจนต้องเข้าโรงพยาบาล ทางการแพทย์เรียกอาการนี้ว่า 'ภาวะต่อมหมวกไตล้า' หรือ Adrenal fatigue

ซึ่งเป็นอาการผิดปกติของร่างกายอย่างหนึ่งที่มีความเครียดเรื้อรังเป็นตัวกระตุ้น โรคนี้จัดอยู่ในกลุ่ม 'โรคที่ถูกลืม' เนื่องจากไม่สามารถวินิจฉัยได้อย่างทันท่วงที แม้แต่การตรวจสุขภาพทั่วไปยังไม่สามารถชี้ได้ชัดต่อการวินิจฉัยภาวะนี้ โดยต้องมีวัดระดับของฮอรโมนต่อมหมวกไต(Adrenal hormones) 2 ตัว ที่มีชื่อว่า คอร์ติซอล (Cortisol) และ ดีเอชอีเอ (Dyhydroepiandrosterone-DHEA) ซึ่งสามารถวัดได้จากผลเลือด Cortisol และ DHEAคือ ฮอร์โมนแห่ง'ความเครียด'ในร่างกายมนุษย์ ปัจจุบันนี้ การรักษาภาวะต่อมหมวกไตล้าจะมุ่งเน้นไปที่การปรับให้ฮอรโมน2ตัวนี้ให้อยู่ระดับที่สมดุล

อ้าว...แล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเสี่ยงต่อภาวะต่อมหมวกไตล้า เช็กได้จากลิสต์ด้านล่าง หากติ๊กได้ 5 ข้อแสดงว่ามีความเสี่ยงแล้วล่ะ

  • ขี้เกียจตื่นนอนตอนเช้า
  • อ่อนเพลีย ไม่มีแรง อยากงีบหลับ ช่วงกลางวัน
  • ง่วงแต่นอนไม่หลับ
  • มีอาการวิงเวียน ศีรษะ หน้ามือ เวลาเปลี่ยนท่าทาง (ลุก-นั่ง)
  • อยากของหวาน, ของเค็ม
  • ปัสสาวะบ่อยผิดปกติ
  • ปวดประจำเดือนบ่อย
  • เป็นภูมิแพ้กำเริบบ่อยๆ
  • ท้องอืด อาหารไม่ย่อย
  • ท้องผูก
  • เครียด ซึมเศร้า
  • คุมอาหาร ออกกำลังกายเป็นประจำแต่น้ำหนักไม่ลดลง
  • รู้สึก'ดีขึ้นทันที'เมื่อได้กินน้ำตาล
  • ผิวแห้งและแพ้ง่าย

คำแนะนำสำหรับ คนที่มีภาวะต่อมหมวกไตล้า

  • นอนหลับให้เพียงพออย่างน้อย 6 ชัวโมง ควรเข้านอนก่อน 5 ทุ่ม
  • รับประทานอาหารเช้า ก่อน 10.00 น. (หลัง 10.00น. ระดับCortisol จะลดลง ทำให้ยิ่งอ่อนเพลีย Cortisol จะทำงานดีขึ้นเมื่อมีน้ำตาลในเลือดเพียงพอ)
  • รับประทานมื้อเล็กๆและบ่อย ๆ แทนการทานอาหารมื้อหลัก ๆ เพียง1-2 มื้อ
  • ออกกำลังกายแบบหนักปานกลาง (Moderate intensity exercise) การออกกำลังกายที่หนักเกินไปจะส่งผลให้ต่อมหมวกไตล้ามากยิ่งขึ้น
  • หาวิธีคลายความเครียด เช่น หางานอดิเรกทำ เดินทางไปเที่ยว
  • อาหารเสริมและสมุนไพรบางชนิดสามารถช่วยลดอาการต่อมหมวกไตล้าได้ เช่น Ashwaghandha (โสมอินเดีย) L-theanine (สารสกัดจากชาเขียว) Phosphatidylserine (สารสกัดจากถั่วเหลือง) วิตามิน C วิตามิน B3 วิตามิน B5 วิตามิน B6

หรือจะลองใช้ “ดนตรีบำบัด” ที่ปัจจุบันมีการใช้ดนตรีบําบัดโรคทางจิตเวช ยกตัวอย่างพฤติกรรมถดถอย แยกตัวที่เป็นอาการในลักษณะเรื้อรังได้ ซึ่งคนที่ใช้ดนตรีบำบัดไม่จำเป็นว่าจะต้องป่วยอย่างเดียวเท่านั้น เพราะดนตรีบำบัดนอกจากจะช่วยผ่อนคลายความเครียดแล้ว ดนตรียังช่วยพัฒนา และผลักดันศักยภาพรวมถึงทักษะต่างๆ ให้ดีขึ้นเช่นกัน

แพทย์จะทำการรักษาโดย

  • เปิดเพลงจังหวะเร้าใจ ขยับตัวเข้าจังหวะ
  • การใช้ดนตรีแบบเคาะจังหวะ
  • ใช้อุปกรณ์เกิดเสียงให้ผู้ป่วยได้เขย่า หรือฟังเพลง
  • ให้ผู้ป่วยบอกถึงความรู้สึกที่ได้จากเพลง ทําตามนี้ครั้งละ 1-1.30 ชั่วโมง สัปดาห์ละ 2 ครั้งหากทําได้ตามนี้ โดยผู้ป่วยจะกลับเข้าสู่สังคมได้อย่างรวดเร็วในชั่วโมงที่ 2 ของการบําบัด ผู้ป่วยที่รู้สึกเหงา เศร้าจะยิ้มแย้มได้หลังจากไม่เคยยิ้มมานานอีกด้วย

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : BDMD สถานีสุขภาพ

บทความที่เกี่ยวข้อง

กรวยไตอักเสบเรื้อรัง

กรวยไตอักเสบเรื้อรัง

กรวยไตอักเสบเรื้อรัง กรวยไตอักเสบเรื้อรังเกิดเกี่ยวเนื่องกับการติดเชื้อแบคทีเรียบริเวณกรวยไต ซึ่งมักไม่แสดงอาการใด ๆ ผู้ป่วยมักมาตรวจปัสสาวะด้วยเรื่องอื่นแต่บังเอิญพบเชื้อแบคทีเรียในปัสสาวะ หากผู้ป่วยกรวยไตอักเสบเรื้อรังเป็นเวลานานมาก เซลล์ไตจะถูกทำลายจนเกิดเป็นภาวะไตวายเรื้องรังได้ โดยจะทำให้ผู้ป่วยซีด อ่อนเพลีย ความดันโลหิตสูง การรักษา หากสงสัยเป็นโรคกรวยไตอักเสบเรื้อรัง จำเป็นต้องพบแพทย์เฉพาะทางเพื่อวินิจฉัยร่วมกับการตรวจพิเศษต่าง ๆ ซึ่งหากพบปัจจัยที่ส่งผลให้เกิดภาวะกรวยไตอักเสบแพทย์อาจจะพิจารณารักษาเป็นราย ๆ ไปตามสาเหตุ อาจต้องให้ยาปฏิชีวนะ และติดตามดูอาการเป็นระยะ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่คลินิกโรคไต โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี 039-319888

หน่วยไตอักเสบเฉียบพลัน (Acute glomerulonephritis)

หน่วยไตอักเสบเฉียบพลัน (Acute glomerulonephritis)

หน่วยไตอักเสบเฉียบพลัน (Acute glomerulonephritis/AGN) หน่วยไตทำหน้าที่กรองของเสียและน้ำออกมาเป็นปัสสาวะ เมื่อหน่วยไตอักเสบจึงทำให้มีปัสสาวะออกน้อย มีของเสียคั่งอยู่ในเลือดมากกว่าปกติ รวมทั้งมีเม็ดเลือดเเดงและสารไข่ขาวรั่วออกมาในปัสสาวะ ทำให้เกิดอาการบวม และปัสสาวะออกมาเป็นสีแดง สาเหตุ มักพบหลังการติดเชื้อแบคทีเรียเบตาสเตรปโตค็อกคัส กลุ่มเอ เช่น ต่อมทอนซิลอักเสบ แผลอักเสบ พุพองตามผิวหนัง ประมาณ 1-4 สัปดาห์ โรคหน่วยไตอักเสบอาจพบร่วมกับโรคเอสเเอลอี ซิฟิลิส แพ้สารเคมี เป็นต้น อาการ ปัสสาวะสีแดงเหมือนน้ำล้างเนื้อ หรือน้ำหมาก ปัสสาวะออกน้อยผิดปกติ บวมที่หน้า หนังตา เท้า และท้อง มักมีอาการปวดศีรษะ มีไข้ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน หากอาการรุนแรง อาจมีอาการหอบเหนื่อย หรือชัก อาการแทรกซ้อน อาจมีความดันโลหิตสูงมากจนระดับความรู้สึกตัวเปลี่ยนแปลง ปอดบวมน้ำ ฟังปอดมีเสียงกรอบแกรบ หอบเหนื่อย หัวใจวาย ไตวายรุนแรง อาจถึงขั้นเสียชีวิตได้ การรักษา หากสงสัยเป็นหน่วยไตอักเสบ จำเป็นต้องพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาในโรงพยาบาลอย่างจริงจัง เพื่อป้องกันการเสียหน้าที่ของไตอย่างถาวร และป้องกันภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ซึ่งอาจเป็นอันจรายถึงชีวิต สอบถามเพิ่มเติมได้ที่คลินิกโรคไต โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี 039-319888

กรวยไตอักเสบ (Pyelonephritis)

กรวยไตอักเสบ (Pyelonephritis)

กรวยไตอักเสบ (Pyelonephritis) กรวยไตอักเสบ เป็นการติดเชื้อแบคทีเรียที่เกิดขึ้นในบริเวณกรวยไต แบ่งเป็น ชนิดเฉียบพลัน และชนิดเรื้อรัง โดยชนิดเรื้อรังมักไม่แสดงอาการที่ชัดเจนใด ๆ ในที่นี้จึงจะขอกล่าวถึงกรวยไตอักเสบเฉียบพลันเป็นหลัก กรวยไตอักเสบเฉียบพลัน เกิดจากการติดเชื้ออักเสบบริเวณกรวยไต ส่วนมากเชื้อแพร่กระจายมาจากผิวหนังรอบ ๆ ท่อปัสสาวะผ่านไปจนถึงกรวยไต สาเหตุที่พบบ่อย นิ่วในทางเดินปัสสาวะ ต่อมลูกหมากโต กระเพาะปัสสาวะไม่ทำงานในผู้ป่วยอัมพาต การตั้งครรภ์หรือมีก้อนในช่องท้อง สอบถามเพิ่มเติมได้ที่คลินิกโรคไต โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี 039-319888

ไตวายเฉียบพลัน VS ไตวายเรื้อรัง

ไตวายเฉียบพลัน VS ไตวายเรื้อรัง

ไตวายเฉียบพลัน VS ไตวายเรื้อรัง แตกต่างกันอย่างไร? อะไรคือสัญญาณโรค? “โรคไต” ภัยเงียบที่มีความรุนแรงและป่วยเรื้อรังสูง แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ ไตวายแบบเฉีบพลันและไตวายเรื้อรัง และ 2ชนิดนี้ต่างกันอย่างไร สัญญาณเตือนโรคมีหรือไม่และใครควรรับการตรวจไตเช็กโรคอย่างเร่งด่วน จากรายงานของ The United States Renal Data System (USRDS) พบว่า ประเทศไทยเป็น 1 ใน 5 ประเทศที่มีอัตราการเกิดโรคไตสูงสุด คือมีผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังถึง 11.6 ล้านคน ในจำนวนนี้มีมากกว่า 1 แสนคนที่ต้องล้างไต และหลายคนยังสับสนกับอาการไตวาย ที่มีทั้งอาการเรื้อรังและฉับพลัน วันนี้เรามาไขความลับโรคไตไปด้วยกัน เพื่อใช้เป็นไกด์นำทางสุขภาพที่ดีของทุกคน อาการหรือโรคไตวาย แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่ ไตวายเฉียบพลัน คือภาวะที่ไตสูญเสียการทำงานอย่างรวดเร็ว โดยเกิดจากสาเหตุต่างๆ เช่น ติดเชื้อในกระแสเลือดอย่างรุนแรง โรคในระบบทางเดินปัสสาวะ การได้รับสารพิษ ผลข้างเคียงจากยา การรับประทานยาเกินขนาด รวมถึงผู้ป่วยอาการหนักจากโรคต่างๆ โดยที่ผู้ป่วยจะมีอาการแสดงตั้งแต่เริ่มแรกทั้งๆ ที่ไตยังไม่เสื่อม เช่น ผู้ป่วยจะมีอาการบวม ปัสสาวะเป็นสีน้ำล้างเนื้อ ตรวจปัสสาวะพบเม็ดโลหิตแดงและโปรตีนไข่ขาวปนออกมาด้วย และมีความดันโลหิตสูงผิดปกติ แม้ภาวะไตวายเฉียบพลันจะมีอันตรายถึงชีวิตได้ แต่หากผู้ป่วยได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีก็มีโอกาสที่ไตจะฟื้นกลับมาเป็นปกติได้ อาการของไตวายเฉียบพลัน มีอาการบวมน้ำหรือขาดน้ำอย่างใดอย่างหนึ่ง อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน ปัสสาวะน้อยกว่าปกติหรือมีสีผิดปกติ เหนื่อยง่าย รู้สึกหวิวๆ หัวใจเต้นผิดจังหวะ กล้ามเนื้อเป็นตะคริวตอนกลางคืน น้ำท่วมปอด มีภาวะซีด เลือดจาง อย่างไรก็ตามอาการเหล่านี้เกิดภายในชั่วโมง วัน หรือสัปดาห์ ถ้ารักษาทันเวลาไตจะฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติได้ ไตวายเรื้อรัง คือ ภาวะที่ไตเริ่มค่อยๆ สูญเสียการทำงานทีละน้อยอย่างต่อเนื่อง ทำให้ความสามารถในการทำงานของไตลดลง ซึ่งสาเหตุหลักๆ ของความเสื่อม คือ โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง โรคอ้วน สภาวะอื่นๆ เช่น ไตอักเสบ โรคถุงน้ำในไต โรคไตที่เกิดจากเก๊าต์ เป็นต้น ข้อสังเกตคือ ในระยะแรกผู้ป่วยจะไม่แสดงอาการผิดปกติออกมาให้เห็น ถ้าหากมาตรวจร่างกาย แพทย์จะไม่พบความผิดปกติใดๆ ทั้งสิ้น ยกเว้นกรณีถ้าตรวจปัสสาวะแล้วพบว่ามีเม็ดเลือดแดงและโปรตีนไข่ขาวปนออกมาในปัสสาวะด้วย หากไม่ได้รับการรักษาอาการก็จะค่อยๆ ลุกลาม จนในที่สุดการทำงานของไตจะเหลือเพียงร้อยละ 25 หรือ 1 ใน 4 ของปกติ ถึงตอนนั้นผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการโรคไตแสดงออกมาให้เห็นบ้าง และถ้าการทำงานของไตเสื่อมลงเหลือต่ำกว่าร้อยละ 10 ของปกติ ผู้ป่วยจะมีอาการแสดงออกมาชัดเจนทุกราย โดยส่วนใหญ่ผู้ป่วยมักตรวจพบโรคเมื่อประสิทธิภาพการทำงานของไตลดลงไปมาก และนำไปสู่ภาวะไตวายที่ไม่สามารถรักษาให้ไตกลับมาทำงานเป็นปกติได้อีกต่อไป อาการของไตวายเรื้อรัง เพลีย เหนื่อยหอบ ปัสสาวะน้อยมาก อาการบวม กดบุ๋มลง คันตามตัว เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน หมดสติ เสียชีวิต ทั้งนี้ ไตเริ่มสูญเสียการทำงานทีละน้อยอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานหลักเดือนหรือปี ไม่สามารถรักษาให้ไตกลับมาเป็นปกติได้ เพราะโรคไตเรื้อรังเกิดได้กับทุกเพศ ทุกวัย จึงควรได้รับการตรวจในทุกช่วงอายุ โดยเฉพาะคนที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูง ดังนี้ ผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเก๊าต์ ภาวะน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน ผู้ที่สูบบุหรี่ประจำ หรือมีประวัติสูบบุหรี่มานาน ผู้ได้รับยาสมุนไพร หรือสารพิษที่มีผลทำลายไตเป็นประจำ คนในครอบครัวเป็นโรคไตเรื้อรัง ผู้ที่มีอาการ ได้แก่ ใบหน้า ตัว หรือเท้าบวม ปวดหลัง ปวดเอว ปัสสาวะบ่อย แสบขัด มีเลือดปน หรือมีฟองผิดปกติ เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ตรวจพบความดันโลหิตสูง ผู้ที่มีความดันโลหิตสูง และอายุเกิน 40 ปี ผู้ที่เคยมีประวัติเป็นนิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะ การตรวจคัดกรองการเกิดโรคไตเป็นการป้องกันก่อนการเกิดโรคที่ดีที่สุด หากพบความเสี่ยงของการเกิดโรคตั้งแต่ยังไม่เกิดโรค จะได้รีบป้องกันอย่างถูกวิธีเพื่อลดความเสี่ยงลง หรือยืดระยะเวลาการเกิดภาวะแทรกซ้อนของโรคได้ ขอขอบคุณข้อมูลจาก : BDMS สถานีสุขภาพ

โรคไตเนโฟรติก (Nephrotic syndrome)

โรคไตเนโฟรติก (Nephrotic syndrome)

โรคไตเนโฟรติก (Nephrotic syndrome) โรคไตเนโฟรติก พบได้ในทุกเพศทุกวัย แต่มักพบในเด็ก มักเป็นเรื้อรังหรือเป็น ๆ หาย ๆ เป็นสาเหตุโรคไตเรื้อรังที่พบได้บ่อย สาเหตุ โรคไตเนโฟรติก เกิดจากร่างกายมีการสูญเสียโปรตีนออกไปทางปัสสาวะ เนื่องจากความผิดปกติของหน่วยไตที่ทำหน้าที่กรองปัสสาวะ ทำให้มีระดับโปรตีนในเลือดต่ำ จึงเกิดอาการบวมทั้งตัว โดยทั่วไปมักไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัด แต่ในบางรายมักเกิดร่วมในผู้ที่มีประวัติการเจ็บป่วย ดังนี้ โรคหน่วยไตอักเสบ โรคเอสเอลอี ซิฟิลิส ผึ้งต่อย แพ้สารหรือยาบางชนิด อาการ บวมทั่วตัว ทั้งที่ใบหน้า หนังตา ท้อง และเท้า 2 ข้าง มักบวมเพิ่มขึ้น ๆ ทีละน้อย (ส่วนน้อยเกิดขึ้นแบบเฉียบพลัน) ปัสสาวะสีใสปกติ แต่จะออกน้อยกว่าปกติ ผู้ป่วยอาจมีอาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ภาวะแทรกซ้อนของโรคไตเนโฟรติก ติดเชื้อง่าย จากภูมิคุ้มกันต่ำ ไตวาย การรักษา หากสงสัยว่าผู้ป่วยเป็นโรคไตเนโฟรติก ควรให้พบแพทย์เพื่อวินิจฉัยและรักษาโรคอย่างถูกต้องเหมาะสมทันท่วงที ซึ่งการรักษาหลักจะเป็นการรักษาด้วยยา สอบถามเพิ่มเติมได้ที่คลินิกโรคไต โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี 039-319888

Hospital Logo

ติดต่อสอบถามเจ้าหน้าที่

บริการให้คำปรึกษาตลอด 24 ชั่วโมง