ไตวายเฉียบพลัน VS ไตวายเรื้อรัง แตกต่างกันอย่างไร? อะไรคือสัญญาณโรค?

“โรคไต” ภัยเงียบที่มีความรุนแรงและป่วยเรื้อรังสูง แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือ ไตวายแบบเฉีบพลันและไตวายเรื้อรัง และ 2ชนิดนี้ต่างกันอย่างไร สัญญาณเตือนโรคมีหรือไม่และใครควรรับการตรวจไตเช็กโรคอย่างเร่งด่วน

จากรายงานของ The United States Renal Data System (USRDS) พบว่า ประเทศไทยเป็น 1 ใน 5 ประเทศที่มีอัตราการเกิดโรคไตสูงสุด คือมีผู้ป่วยโรคไตเรื้อรังถึง 11.6 ล้านคน ในจำนวนนี้มีมากกว่า 1 แสนคนที่ต้องล้างไต และหลายคนยังสับสนกับอาการไตวาย ที่มีทั้งอาการเรื้อรังและฉับพลัน วันนี้เรามาไขความลับโรคไตไปด้วยกัน เพื่อใช้เป็นไกด์นำทางสุขภาพที่ดีของทุกคน

อาการหรือโรคไตวาย แบ่งออกเป็น 2 ประเภทหลัก ได้แก่

ไตวายเฉียบพลัน คือภาวะที่ไตสูญเสียการทำงานอย่างรวดเร็ว โดยเกิดจากสาเหตุต่างๆ เช่น

  • ติดเชื้อในกระแสเลือดอย่างรุนแรง
  • โรคในระบบทางเดินปัสสาวะ
  • การได้รับสารพิษ ผลข้างเคียงจากยา การรับประทานยาเกินขนาด

รวมถึงผู้ป่วยอาการหนักจากโรคต่างๆ โดยที่ผู้ป่วยจะมีอาการแสดงตั้งแต่เริ่มแรกทั้งๆ ที่ไตยังไม่เสื่อม เช่น ผู้ป่วยจะมีอาการบวม ปัสสาวะเป็นสีน้ำล้างเนื้อ ตรวจปัสสาวะพบเม็ดโลหิตแดงและโปรตีนไข่ขาวปนออกมาด้วย และมีความดันโลหิตสูงผิดปกติ แม้ภาวะไตวายเฉียบพลันจะมีอันตรายถึงชีวิตได้ แต่หากผู้ป่วยได้รับการรักษาอย่างทันท่วงทีก็มีโอกาสที่ไตจะฟื้นกลับมาเป็นปกติได้

อาการของไตวายเฉียบพลัน

  • มีอาการบวมน้ำหรือขาดน้ำอย่างใดอย่างหนึ่ง
  • อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน
  • ปัสสาวะน้อยกว่าปกติหรือมีสีผิดปกติ
  • เหนื่อยง่าย รู้สึกหวิวๆ หัวใจเต้นผิดจังหวะ
  • กล้ามเนื้อเป็นตะคริวตอนกลางคืน
  • น้ำท่วมปอด
  • มีภาวะซีด เลือดจาง

อย่างไรก็ตามอาการเหล่านี้เกิดภายในชั่วโมง วัน หรือสัปดาห์ ถ้ารักษาทันเวลาไตจะฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติได้

ไตวายเรื้อรัง คือ ภาวะที่ไตเริ่มค่อยๆ สูญเสียการทำงานทีละน้อยอย่างต่อเนื่อง ทำให้ความสามารถในการทำงานของไตลดลง ซึ่งสาเหตุหลักๆ ของความเสื่อม คือ

ข้อสังเกตคือ ในระยะแรกผู้ป่วยจะไม่แสดงอาการผิดปกติออกมาให้เห็น ถ้าหากมาตรวจร่างกาย แพทย์จะไม่พบความผิดปกติใดๆ ทั้งสิ้น ยกเว้นกรณีถ้าตรวจปัสสาวะแล้วพบว่ามีเม็ดเลือดแดงและโปรตีนไข่ขาวปนออกมาในปัสสาวะด้วย หากไม่ได้รับการรักษาอาการก็จะค่อยๆ ลุกลาม จนในที่สุดการทำงานของไตจะเหลือเพียงร้อยละ 25 หรือ 1 ใน 4 ของปกติ ถึงตอนนั้นผู้ป่วยจะเริ่มมีอาการโรคไตแสดงออกมาให้เห็นบ้าง และถ้าการทำงานของไตเสื่อมลงเหลือต่ำกว่าร้อยละ 10 ของปกติ ผู้ป่วยจะมีอาการแสดงออกมาชัดเจนทุกราย โดยส่วนใหญ่ผู้ป่วยมักตรวจพบโรคเมื่อประสิทธิภาพการทำงานของไตลดลงไปมาก และนำไปสู่ภาวะไตวายที่ไม่สามารถรักษาให้ไตกลับมาทำงานเป็นปกติได้อีกต่อไป

อาการของไตวายเรื้อรัง

  • เพลีย เหนื่อยหอบ
  • ปัสสาวะน้อยมาก
  • อาการบวม กดบุ๋มลง
  • คันตามตัว
  • เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน
  • หมดสติ เสียชีวิต

ทั้งนี้ ไตเริ่มสูญเสียการทำงานทีละน้อยอย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานหลักเดือนหรือปี  ไม่สามารถรักษาให้ไตกลับมาเป็นปกติได้

เพราะโรคไตเรื้อรังเกิดได้กับทุกเพศ ทุกวัย จึงควรได้รับการตรวจในทุกช่วงอายุ โดยเฉพาะคนที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูง ดังนี้

  • ผู้ที่มีอายุ 60 ปีขึ้นไป
  • ผู้ที่มีโรคประจำตัว เช่น โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง โรคหัวใจและหลอดเลือด โรคเก๊าต์ ภาวะน้ำหนักเกินหรือโรคอ้วน
  • ผู้ที่สูบบุหรี่ประจำ หรือมีประวัติสูบบุหรี่มานาน
  • ผู้ได้รับยาสมุนไพร หรือสารพิษที่มีผลทำลายไตเป็นประจำ
  • คนในครอบครัวเป็นโรคไตเรื้อรัง
  • ผู้ที่มีอาการ ได้แก่ ใบหน้า ตัว หรือเท้าบวม ปวดหลัง ปวดเอว ปัสสาวะบ่อย แสบขัด มีเลือดปน หรือมีฟองผิดปกติ เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย ตรวจพบความดันโลหิตสูง
  • ผู้ที่มีความดันโลหิตสูง และอายุเกิน 40 ปี
  • ผู้ที่เคยมีประวัติเป็นนิ่วในระบบทางเดินปัสสาวะ

การตรวจคัดกรองการเกิดโรคไตเป็นการป้องกันก่อนการเกิดโรคที่ดีที่สุด หากพบความเสี่ยงของการเกิดโรคตั้งแต่ยังไม่เกิดโรค จะได้รีบป้องกันอย่างถูกวิธีเพื่อลดความเสี่ยงลง หรือยืดระยะเวลาการเกิดภาวะแทรกซ้อนของโรคได้

ขอขอบคุณข้อมูลจาก : BDMS สถานีสุขภาพ