ผื่นผ้าอ้อม

สาเหตุของผื่นผ้าอ้อม สาเหตุมักเกิดจากผิวหนังของเด็กทารกซึ่งบอบบางมาก สัมผัสอยู่กับปัสสาวะอุจจาระ ทําให้เกิดปฏิกิริยาเป็นผื่นแพ้ขึ้นมา

ตําแหน่งที่พบ มักจะพบบริเวณที่ใส่ผ้าอ้อม บริเวณขาหนีบ ก้น ต้นขา

ลักษณะผื่น เป็นผื่นสีแดงชัดเจน ลามออกมา ไม่มีตุ่มหนองหรือสะเก็ดลอก

ข้อสังเกต จะพบเด็กทารกมักจะร้องให้กวนบ่อยกว่าปกติ ร้องกระจองอแง ทั้งนี้เป็นเพราะไม่ค่อยสบายตัว ไม่สบายก้นนั้นเอง เนื่องจากมีผื่นแดงระคายเคืองอยู่

ปัญหาแทรกซ้อน ถ้าเด็กทารกเป็นผื่นมานานมากกว่า 72 ชั่วโมง อาจจะพบเชื้อยีสต์แคนดิดา (Candida albicans) ร่วมด้วย

ข้อแนะนํา ควรเปลี่ยนผ้าอ้อมบ่อย ๆ และทาแป้งเด็กทําให้ผิวหนังบริเวณนี้แห้งไม่อับชื้น

การรักษา ควรพามาพบปรึกษาแพทย์ เพราะถ้าเป็นผื่นแพ้ผ้าอ้อมจริง แพทย์จะให้ใช้ยาทากลุ่ม สเตียรอยด์อย่างอ่อนทา ผื่น แดงจะลดลง แต่ถ้าในทางตรงกันข้าม ผื่นนี้เกิดจากเชื้อยีสต์แคนดิดา ถ้าใช้ยาทากลุ่มสเตียรอยด์ ผื่นจะยิ่งลุกลาม เป็นมากขึ้นนกว่าเดิม จึงควรจะให้แพทย์ตรวจวินิจฉัยดู จะดีกว่า ซื้อยามาทาเอง

ติต่อสอบถามเพิ่มเติมได้ที่คลินิกกุมารเวช โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี 039-319888

บทความที่เกี่ยวข้อง

โรคหลอดลมอักเสบเฉียบพลัน

โรคหลอดลมอักเสบเฉียบพลัน

โรคหลอดลมอักเสบเฉียบพลัน หลอดลมอักเสบแบ่งเป็นชนิดเฉียบพลัน กับชนิดเรื้อรัง ในที่นี้จะกล่าวถึงชนิดเฉียบพลันก่อน หลอดลมอักเสบเฉียบพลัน เป็นโรคที่พบได้บ่อยในทุกคนทุกเพศทุกวัย ซึ่งมักพบหลังเป็นไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่ ส่วนมากเกิดจากเชื้อไวรัส ซึ่งจะมีอาการไอ มีเสมหะขาว บางครั้งอาจเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ซึ่งจะไอมีเสมหะสีเหลืองหรือเขียว นอกจากนี้ยังอาจเกิดจากการถูกสารระคายเคือง เช่น ควันบุหรี่ ไอเสียรถยนต์ ฝุ่นละออง เป็นต้น ซึ่งอาจทําให้มีอาการเรื้อรังได้ อาการ มีอาการไอ ซึ่งมักมีอาการมากตอนกลางคืน ระยะแรกจะไอแห้งๆ อาจมีเสียงแหบ และเจ็บหน้าอกเพราะไอมาก 4 - 5 วัน ต่อมาจะมีเสมหะเหนียวเป็นสีขาว(เชื้อไวรัส) หรือขุ่นข้นเป็นสีเหลืองหรือสีเขียว(เชื้อแบคทีเรีย) ในเด็กอาจไอจนอาเจียน อาจมีไข้ต่ำๆ หรือไม่มีก็ได้ บางคนอาจมีอาการหอบหืดร่วมด้วย เรียกว่า หืดจากหลอดลมอักเสบ (Asthmatic bronchitis) อาการแทรกซ้อน โรคนี้มักหายได้ภายใน 1-3 สัปดาห์ แต่บางรายอาจเกิดภาวะแทรกซ้อน ที่พบได้บ่อย ได้แก่ หลอดลมอักเสบเรื้อรัง หลอดลมพอง ถุงลมพอง การรักษา แนะนําให้ผู้ป่วยพักผ่อนให้มากขึ้น ควรดื่มน้ำอุ่นมากๆ เพื่อช่วยให้เสมหะออกได้ง่ายขึ้น ไม่ควรดื่มน้ำเย็นหรือน้ำแข็ง อาจทําให้ไอมากขึ้น ไม่ควรอยู่ในที่ ๆ มีอากาศเสียหรือฝุ่นละอองมาก ให้ยาขับเสมหะ ไม่ควรให้ยาแก้ไอชนิดกดการไอ เช่น ยาแก้ไอน้ำดํา ยาแก้ไอน้ำเชื่อม หรือยาโคเดอีน เพราะจะทําให้เสมหะเหนียว ขากออกยาก และอาจอุดกั้นหลอดลมเล็กๆทําให้ปอดบางส่วนแฟบได้ ถ้าไอนานเกิน 3 สัปดาห์ หรือมีไข้นานเกิน 1 สัปดาห์ หรือน้ำหนักลดควรส่งโรงพยาบาล อาจต้องเอกซเรย์ ตรวจเสมหะ หาสาเหตุและรักษาตามสาเหตุ ข้อแนะนำ โรคนี้มักเป็นหลังจากเป็นไข้หวัดหรือไข้หวัดใหญ่และอาจไออยู่นาน 2 - 3 สัปดาห์ โดยที่สุขภาพทั่วไปแข็งแรงดี แต่ถ้าพบว่ามีอาการเบื่ออาหาร น้ำหนักลด หรือมีไข้เรื้อรัง อาจเป็นจากสาเหตุอื่น เช่น วัณโรค หากสงสัยควรส่งโรงพยาบาล ถ้าไอมีเสมหะ ควรดื่มน้ำอุ่นมากๆ และไม่ควรซื้อยาแก้ไอรับประทานเอง เพราะยาแก้ไอบางชนิดกดการไอ ทำให้เสมหะค้่งภายในไม่ถูกขับออกมาได้ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่คลินิกกุมารเวช โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี 039-319888

การเช็ดตัวลดไข้

การเช็ดตัวลดไข้

การเช็ดตัวลดไข้ เช็ดตัวด้วยผ้าขนหนูนิ่ม ๆ บิดน้ำอุ่นหมาดๆ โดยเริ่มจากใบหน้า ลําคอ แขน ลําตัว ขา โดยเช็ดไปในทิศทางเข้าสู่หัวใจ เน้นบริเวณข้อพับต่าง ๆ น้ำอุ่นจะทําให้เส้นเลือดขยายตัว ความร้อนในร่างกายของลูกจะถูกถ่ายเทผ่านน้ำที่ระเหยจากผิวหนัง ให้ลูกอยู่ในที่ที่มีอากาศถ่ายเท ไม่ควรสวมเสื้อผ้าหนา ๆ หรือผ้าห่มหลายชั้นเกินไป เพราะจะทําให้ความร้อนไม่ถ่ายเท ไข้ไม่ลดได้ หลังเช็ดตัวควรจะวัดอุณหภูมิซ้ำทุก ๆ 20 นาที หรือจนแน่ใจว่าไข้ลดแล้ว หากไข้ลดแล้วเหงื่อออกมาก ควรจะให้ลูกดื่มน้ำหรือน้ำเกลือแร่ชดเชยการเสียเหงื่อ รวมทั้งเปลี่ยนชุดใหม่ที่แห้งและสะอาดให้ลูกจะได้หลับอย่างสบายตัว ถ้าเช็ดตัวแล้วไข้ไม่ลดหรือมีไข้สูงกว่า 38 องศาเซลเซียส ควรจะให้ยาลดไข้ สิ่งสําคัญที่ไม่ควรลืมก็คือ ให้ใช้น้ำอุณหภูมิปกติหรือน้ำอุ่นเช็ดตัวลูก คุณพ่อคุณแม่หลายคนหวังดีอยากให้ลูกไข้ลดเร็วๆ เลยใช้น้ำเย็นเช็ดตัว ผลปรากฏว่าไข้ของลูกยิ่งสูงขึ้น เพราะน้ำเย็นทําให้รูขุมขนหดตัวเล็กลง การระบายความร้อนออกจากร่างกายก็เลยยิ่งไม่สะดวก และน้ำที่เย็นจัดๆ ก็ทําให้ไข้เพิ่มสูงขึ้นได้ค่ะ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่คลินิกกุมารเวช โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี 039-319888

ข้อควรรู้เกี่ยวกับวัคซีนเด็ก

ข้อควรรู้เกี่ยวกับวัคซีนเด็ก

ข้อควรรู้เกี่ยวกับวัคซีนเด็ก ท่านควรทราบว่าเด็กได้รับวัคซีนอะไรบ้างในแต่ละครั้ง และควรทราบว่าอาจเกิดอาการจากวัคซีนนั้นอย่างไรบ้าง ทั้งนี้เพื่อให้ท่านให้การดูแลเด็กได้อย่างถูกต้อง การฉีดวัคซีน บีซีจี วัคซีนป้องกันวัณโรค เด็กทุกคนจะได้รับการฉีดเมื่อแรกเกิดที่ไหล่ซ้าย หลังฉีดไม่มีแผล ต่อมาประมาณ 3 – 4 อาทิตย์ จะเห็นเป็นตุ่มขึ้นมา บวม แดง อาจแตกและมีหนองหรือไม่มีหนองก็ได้ ให้เช็ดผิวหนังบริเวณนั้นให้สะอาด และแห้งเสมอด้วยแอลกอฮอล์ 70 % ทุกครั้งที่แผลเปียก ตุ่มนี้จะค่อย ๆ แห้งลง และมีรอยบุ๋มตรงกลางภายใน 3 – 6 อาทิตย์ หลังการฉีดวัคซีนบางชนิด เด็กอาจตัวร้อนอยู่ประมาณ 1 – 2 วัน ควรเช็ดตัว และให้ทานยาลดไข้ตามที่แพทย์แนะนํา วัคซีนบางชนิด เด็กอาจให้มากกว่า 1 ครั้งและต้องฉีดอีกเป็นครั้งคราว จึงจะได้ผลป้องกันโรคได้เต็มที่ ท่านจึงควรพาเด็กมาตามนัดทุกครั้ง ในวันนัด ถ้าเด็กเป็นไข้ ควรเลื่อนไปจนกว่าเด็กจะหายไข้ ในรายที่ไม่สามารถมาตามนัด ควรพาเด็กมารับวัคซีนให้ครบให้เร็วที่สุด ถ้าเด็กเคยมีอาการรุนแรงหลังฉีดวัคซีน เช่น ชัก ไข้สูงมาก ควรแจ้งให้แพทย์ทราบก่อนฉีดทุกครั้ง สอบถามเพิ่มเติมได้ที่คลินิกกุมารเวช โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี 039319888

สมาธิสั้น

สมาธิสั้น

สมาธิสั้นกลุ่มอาการที่เกิดขึ้นตั้งแต่วัยเด็ก ( ก่อนอายุ 7 ขวบ ) ที่เป็นผลจากความผิดปกติของสมองส่วนหน้า ทําให้มีผลกระทบต่อพฤติกรรม สมาธิ การจดจ่อ ใส่ใจ ทําให้มีปัญหาการเรียนรู้ การควบคุมอารมณ์ และการเข้าสังคมตามมา กลุ่มอาการที่พบ อาการขาดสมาธิ (Attention deficit ) : วอกแวกง่าย เหม่อลอย ไม่ตัองใจทํางาน ขี้ลืม ไม่รอบคอบ อาการหุนหัน พลันแล่น วู่วาม (Impulsive ) : ใจร้อน ทําอะไรไม่คิด พูดโพล่ง / พูดแทรก รอคอยไม่ได้ อาการซน อยู่ไม่นิ่ง (hyperactivity) : ยุกยิก อยู่ไม่นิ่ง ขยับตัวไปมา พูดมาก ชอบแกล้งเพื่อน เด็กบางคนอาจมีแค่อาการซน หุนหันเป็นอาการเด่น ( พบมากในเด็กผู้ชาย ) บางคนอาจมีแค่อาการขาดสมาธิเป็นอาการ เด่น หรืออาจพบทั้งสามกลุ่มอาการเลยก็ได้ เด็กคนอื่นเป็นกันเยอะไหม ในประเทศไทยประมาณกันว่าทุกๆเด็ก 100 คน จะมี 5 คน ที่มีอาการสมาธิสั้น ทําไมเป็นสมาธิสั้น เป็นผลจากพันธุกรรมหรือมารดาได้รับสารพิษระหว่างตั้งครรภ์ มีความผิดปกติของสารเคมีในสมอง ( โดพามีน , นอร์อิพิเนพฟิน ) ส่งเสริมให้อาการรุนแรงมากขึ้นด้วยการเลี้ยงดูที่ไม่มีระเบียบวินัย เรารักษากันอย่างไร การกินยากลุ่ม Psychostimulant เพื่อกระตุ้นปรับสมดุลเคมีในสมอง ไม่ได้มีฤทธิ์กดประสาท ซึ่งพบว่ามีประสิทธิภาพดี แต่อาจมีผลข้างเคียง เช่น นอนไม่หลับ เบื่ออาหาร หงุดหงิดง่าย อาการเหล่านี้สามารถหายได้เองเมื่อกินยาติดต่อกัน การกินยา ต่อเนื่องนี้ไม่มีผลต่อการเจริญเติบโตในระยะยาวของเด็ก การฝึกวินัยและการปรับพฤติกรรม สอบถามเพิ่มเติมได้ที่คลินิกกุมารเวช โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี 039-319888

ภาวะชักจากไข้สูง

ภาวะชักจากไข้สูง

เมื่อเด็กมีไข้และชักควรปฏิบัติอย่างไร ภาวะชักจากไข้มีพยากรณ์โรคที่ดีไม่ทําให้สติปัญญาถดถอยหรือมีการทําลายของเนื้อสมองอย่างถาวร ดังนั้นไม่ต้องตกใจควรปฏิบัติดังต่อไปนี้ ป้องกันการอุดตันของเสมหะโดยจับเด็กนอนหงายหันศีรษะไปข้างใดข้างหนึ่ง หรือนอนตะแคงศีรษะต่ำเล็กน้อย ดูดเสมหะเพื่อให้ผู้ป่วยหายใจได้สะดวก ห้ามใช้สิ่งของเพื่องัดฟัน เช่น ด้ามช้อนหรือนิ้ว จะทําให้เกิดอันตรายต่อเด็กและยังจะทําให้ผู้พยาบาลเด็กได้รับบาดเจ็บไปด้วย คลายเสื้อผ้าออกเพื่อสะดวกต่อการปฐมพยาบาล เช็ดตัวด้วยน้ำอุ่นหรือน้ำก๊อกเพื่อคลายความร้อน ไม่พยายามเขย่าหรือตีเด็ก ถ้าชักเกิน 10 นาทีหรือชักซ้ำ ขณะที่ยังไม่ฟื้นเป็นปกติ ต้องรีบนําเด็กส่งโรงพยาบาลพบแพทย์ เพื่อหาสาเหตุและการรักษาที่ถูกต้อง ข้อปฏิบัติเพื่อป้องกันชักเมื่อเด็กมีไข้ ให้ยาลดไข้ เมื่อเริ่มมีไข้ทุก 4-6 ชั่วโมง เช็ดตัวด้วยน้ำอุ่น หรือน้ำธรรมดา การให้ยากันชักมีข้อบ่งชี้คือ คนไข้ที่มีปัจจัยเสี่ยงต่อการกลายเป็นโรคลมชัก มีประวัติชักโดยไม่มีไข้ในครอบครัว และมีการพัฒนาที่ผิดปกติก่อนชัก หรือชักเฉพาะที่ เด็กที่ชักจากไข้ไม่ต้องให้ยาป้องกันชัก ในบางกรณีที่ผู้ปกครองกังวลมากอาจเลือกใช้ยาป้องกันอาการชักเฉพาะ เมื่อเด็กมีไข้เท่านั้น แต่ยาดังกล่าวจะมีผลข้างเคียงทําให้เด็กง่วงซึมและมีความเสี่ยงต่อการบดบังอาการของการติดเชื้อขึ้นไปบนสมองได้ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่แผนกกุมารเวช โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี 039-319888

ล้างจมูกถูกวิธี

ล้างจมูกถูกวิธี

ล้างจมูกถูกวิธี “การล้างจมูก” เป็นวิธีทำความสะอาดโพรงจมูกด้วยการสวนล้างโดยใช้น้ำเกลือ เพื่อชำระสิ่งสกปรกอย่างน้ำมูก หรือสารที่ก่อให้เกิดภูมิแพ้ที่อยู่ภายในโพรงจมูกให้หมดไป ซึ่งสามารถลดปัญหาน้ำมูกไหลลงคอและอาการคัดจมูกได้ดี ช่วยให้โพรงจมูกมีความชุ่มชื้นขึ้น การหายใจจึงสะดวกขึ้น ทั้งนี้ต้องเป็นเด็กที่สามารถกลั้นหายใจและสั่งน้ำมูกเองได้แล้วจึงจะทำได้โดยไม่สำลัก ประโยชน์ของการล้างจมูก ช่วยกำจัดมูกเหนียวข้นที่ตกค้างอยู่ในโพรงจมูก ทำให้จมูกให้สะอาดขึ้น บรรเทาอาการหวัดเรื้อรังให้ทุเลาลง ป้องกันการลุกลามของเชื้อโรคที่อยู่ภายในโพรงจมูก ป้องกันการลุกลามของอาการไซนัสไม่ให้ลงไปยังปอด ลดปริมาณเชื้อโรค ของเสีย และสารก่อภูมิแพ้ต่างๆ เพิ่มความชุ่มชื้นให้กับเยื่อบุโพรงจมูก บรรเทาอาการแน่นจมูกหรือหายใจไม่ออก ให้หายใจโล่งขึ้น บรรเทาอาการระคายเคืองที่เกิดขึ้นในโพรงจมูก เพิ่มประสิทธิภาพของยาพ่นจมูก เพราะยาจะทำงานได้ดีขึ้นเมื่อจมูกโล่งสะอาด การล้างจมูก ควรทำก่อนใช้ยาพ่นจมูกเพื่อรักษาโรค หรือในกรณีที่เด็กป่วยเป็นโรคที่เกี่ยวกับโพรงจมูก ควรทำการล้างจมูกอย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะผู้ป่วยโรคต่อไปนี้ โรคภูมิแพ้ โรคไซนัสอักเสบ โรคหอบหืด เป็นหวัดคัดจมูก มีน้ำมูกหรือเสมหะมากเกินไป จนหายใจไม่สะดวก ทั้งนี้หากสังเกตเห็นว่าเด็กมีน้ำมูกเหนียวข้นออกมามาก เด็กได้รับฝุ่นควัน หรือเผชิญกับสภาพอากาศที่มีมลภาวะสูงมา ก็ควรล้างจมูกให้เด็กด้วยน้ำเกลือ เช่นกัน อุปกรณ์สำหรับการล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ น้ำเกลือที่มีความเข้มข้น 0.9% สามารถหาซื้อได้ที่โรงพยาบาลหรือร้านขายยาทั่วไป ถ้วยสำหรับใส่น้ำเกลือ กระบอกฉีดยาพลาสติก สำหรับเด็กเล็ก ควรใช้ขนาด 5-10 cc. สำหรับเด็กโต ควรใช้ขนาด 10-20 cc. ภาชนะรองน้ำมูก หรือหากไม่ใช้ภาชนะ อาจล้างจมูกที่อ่างล้างหน้าก็ได้ ขั้นตอนการล้างจมูก ล้างมือและอุปกรณ์ต่างๆ ให้สะอาด เทน้ำเกลือลงในภาชนะที่เตรียมไว้ ใช้กระบอกฉีดยาพลาสติกดูดน้ำเกลือประมาณ 5-10 มิลลิลิตร จากนั้นโน้มตัวเหนือภาชนะรองรับ พยายามจัดให้กระบอกฉีดแนบสนิทกับรูจมูกข้างใดข้างหนึ่ง จากนั้นกลั้นหายใจ ก้มหน้า อ้าปาก หรืออาจจะให้เด็กร้อง ‘อา…” โดยลากเสียงยาวๆ แทนก็ได้ ขณะกลั้นหายใจ ให้ค่อยๆ ฉีดน้ำเกลือเข้าไปในรูจมูก เพื่อให้น้ำเกลือไหลผ่านเข้าไปในโพรงจมูกข้างที่สอดกระบอกฉีด และไหลผ่านออกทางรูจมูกอีกด้านหนึ่ง หากมีน้ำมูกค้างอยู่ให้สั่งออกมาเบาๆ หรืออาจมีน้ำเกลือบางส่วนไหลออกมาทางปากแทนก็ให้บ้วนทิ้งไป จากนั้นทำซ้ำที่จมูกอีกข้างหนึ่ง อาจทำซ้ำจนกว่าจะรู้สึกหายใจโล่ง ไม่มีน้ำมูกเหลือก็ได้ ทั้งนี้สามารถล้างจมูกได้บ่อยๆ เมื่อมีอาการหายใจไม่ออกหรือคัดจมูก หรืออาจล้างวันละ 2-3 ครั้ง โดยไม่เป็นอันตรายต่อร่างกายแต่อย่างใด ขอขอบคุณข้อมูลจาก : BDMS สถานีสุขภาพ