วิธีแก้อาการ "นอนกรน"

วิธีแก้อาการ "นอนกรน"

นอนกรน ปัญหาเล็กๆที่ อาจพัฒนาเป็นปัญหาใหญ่ได้ในอนาคต เช็กสัญญาณอันตรายและวิธีรักษาควบคู่ไปกับการปรับพฤติกรรม

เสียงกรน คือ เสียงที่เกิดจากการสั่นสะเทือนของลิ้นไก่และเพดานอ่อน ขณะนอนหลับในเวลาที่เราหลับสนิทนั้นเนื้อเยื่อต่างๆ ในช่องคอโดยเฉพาะอย่างยิ่งลิ้นไก่ และเพดานอ่อนจะคลายตัว บางคนคลายตัวมากจนย้อยลงมาอุดกั้นทางเดินหายใจบริเวณลำคอ ทำให้ลมหายใจเข้าไม่สามารถไหลผ่านลงสู่หลอดลม และปอดได้โดยสะดวก จนเกิดเป็นเสียงกรนตามมา


จะรู้ได้อย่างไรว่านอนกรน คนข้างๆคุณบอกได้ ?

  • นอนกรนเสียงดังจนต้องสะกิดปลุกกลางดึก
  • สะดุ้งตื่น หรือพลิกตัวตอนนอน นอนกระสับกระส่าย เหงื่อออกผิดปกติขณะหลับ
  • ปากแห้ง คอแห้งหลังตื่นนอน
  • รู้สึกว่านอนไม่อิ่ม มีอาการปวดศีรษะ อ่อนเพลียหลังตื่นนอน ทั้งที่มีเวลานอนเพียงพอ หงุดหงิดง่าย อารมณ์เสียบ่อยกว่าปกติ ความคิดความสามารถในการจดจำลดลง และอาการจะหนักขึ้นถ้ามีการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ หรือทานยานอนหลับ
  • ง่วงนอนบ่อย หรือหลับง่ายในช่วงกลางวัน

ชนิดการนอนกรน แบบไหนอันตราย ?

  • ชนิดที่ไม่เป็นอันตราย (simple snoring) คนที่นอนกรนชนิดนี้มักจะมีเสียงกรนสม่ำเสมอ ไม่มีหายใจสะดุด หรือเสียงฮุบอากาศ เสียงกรนมักดังมากโดยเฉพาะเวลานอนหงาย
  • ชนิดที่เป็นอันตราย (snoring with obstructive sleep apnea) คนที่นอนกรนภาวะนี้มักจะกรนเสียงดัง และมีอาการคล้ายสำลัก หรือสะดุ้งตื่นกลางดึก ตื่นขึ้นมาด้วยอาการอ่อนเพลียไม่สดชื่น หรือปวดศีรษะ และต้องการนอนต่ออีกทั้งที่ใช้เวลานอน 7- 8 ชม.แล้ว กลางวันบางคนอาจมีอาการง่วงนอน หลงลืม ไม่มีสมาธิ หงุดหงิดง่าย ขี้โมโห รวมทั้งมีความรู้สึกทางเพศลดลงซึ่งการนอนกรนชนิดนี้อาจนําไปสู่การหยุดหายใจขณะหลับที่นำไปสู่โรคความดันโลหิตสูง โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง อัมพฤกษ์ อัมพาตและโรคซึมเศร้าได้

รักษาบรรเทาอาการนอนกรน

  • การลดน้ำหนัก เพราะผู้ป่วยที่นอนกรนส่วนมากมักมีน้ำหนักที่เกินเกณฑ์มาตราฐาน
  • หลีกเลี่ยงไม่ดื่มสุราและสูบบุหรี่
  • ปรับท่านอน นอนศีรษะสูง นอนตะแคง
  • ใช่อุปกรณ์ช่วยให้ทางเดินหายใจกว้างขึ้นหรือไม่อุดกั้นขณะหลับ เช่นใช้เครื่องอัดอากาศ ใส่ฟันยางขณะหลับ เครื่องมือชนิดนี้มีหลายแบบ หลายรูปร่าง แต่หลักการทำงานเหมือนกันคือ ยึดขากรรไกรล่างให้เคลื่อนมาข้างหน้า โคนลิ้นจะถูกดันออกมาด้วยทำให้ช่องคอเปิดออก และทำให้อากาศผ่านเข้าได้ง่ายขึ้น ช่วยให้หายใจได้สะดวกขึ้น และเสียงกรนเบาลง

การดูแลรักษาเครื่องมือกันนอนกรน

  • ก่อนใส่เครื่องมือกันกรน ให้ใช้แปรงสีฟันขนอ่อนๆ ขัดล้างกับน้ำสบู่ หรือยาสีฟัน
  • ควรทำความสะอาดทุกครั้ง ก่อนและหลังใส่เครื่องมือกันกรน
  • ไม่เก็บเครื่องมือกันกรนในบริเวณที่มีความร้อน หรือแห้ง ไม่จำเป็นต้องแช่น้ำ

อย่างไรก็ตามอาการนอนกรน ไม่ใช่เรื่องที่ควรมองข้าม หากรู้สึกว่าปวดหัวทุกครั้งที่ตื่นนอน ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อวางแผนวินิจฉัยและการรักษาต่อไป

ขอบคุณข้อมูลจาก : BDMS สถานีสุขภาพ

บทความที่เกี่ยวข้อง

COVID-19 ป้องกันตัวเองอย่างไรเมื่อต้องเดินทาง

COVID-19 ป้องกันตัวเองอย่างไรเมื่อต้องเดินทาง

COVID-19 ป้องกันตัวเองอย่างไรเมื่อต้องเดินทาง หลังการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนาสายพันธุ์ใหม่จากมณฑลอู่ฮั่นลุกลาม จนมีผู้ติดเชื้อมากกว่า 600 คน และสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องเรื่อยๆ ทำให้ทางการจีนต้องหยุดกิจกรรมวันปีใหม่ และปิดเมืองถึง 3 เมือง เพื่อป้องกันการแพร่ระบาด อีกทั้งองค์การอนามัยโลก (WHO) แถลงการณ์ประกาศเฝ้าระวังอย่างใกล้ชิด หลังพบผู้ป่วยกระจายไปทั่วโลก ทั้งประเทศในเอเชีย ยุโรป และภูมิภาคอื่น จากการท่องเที่ยวของคนจีนในวันตรุษจีน (ข้อมูล ณ วันที่ 24 มกราคม 2020 เวลา 02.50 น.) ฉะนั้น หากคุณจำเป็นต้องเดินทาง ไม่ว่าจะไปส่วนใดของโลก โดยเฉพาะพื้นที่เสี่ยงและสนามบิน เราแนะนำให้คุณทำประกันการเดินทาง สวมหน้ากากอนามัย ที่สำคัญกินร้อน ช้อนกลาง ล้างมือทุกครั้งที่หยิบอาหารเข้าปาก

ถุงลมโป่งพอง

ถุงลมโป่งพอง

ถุงลมโป่งพอง (Emphysema / Chronic obstructive pulmonary disease / COPD) ถุงลมโป่งพอง เป็นภาวะที่ถุงลมในปอดเกิดความพิการอย่างถาวร ซึ่งปอดมีถุงลมเป็นล้านถุง เมื่อส่วนนึงเกิดการพิการ ส่วนที่เหลือจะยังคงทำหน้าที่ได้ แต่ด้วยจำนวนถุงลมที่สามารถทำงานได้ลดลง การแลกเปลี่ยนก๊าซจึงลดลง เมื่อออกซิเจนไปเลี้ยงส่วนต่างๆไม่เพียงพอ ผู้ป่วยจะมีอาการหอบเหนื่อยเกิดขึ้น ถุงลมโป่งพองมักพบในเพศชายอายุ 45-65 ปี ส่วนใหญ่มีประวัติสูบบุหรี่จัดมานาน 10 ปีขึ้นปี หรือผู้ที่อยู่ในสิ่งแวดล้อมที่มีมลพิษทางอากาศต่อเนื่องเป็นเวลานาน สาเหตุถุงลมโป่งพอง สูบบุหรี่เป็นประจำต่อเนื่องเป็นเวลานาน อยู่ในสิ่งแวดล้มที่มีมลพิษทางอากาศ เช่น อากาศเสียจากโรงงาน เหมืองแร่ที่หายใจเอาสารละคายเคืองหลอดลมเข้าไปเป็นประจำ เป็นต้น สอบถามเพิ่มเติมได้ที่คลินิกโรคปอดและระบบทางเดินหายใจ โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี โทร 039-319888

ค้นหามะเร็งปอดด้วย Low-Dose CT Chest screening

ค้นหามะเร็งปอดด้วย Low-Dose CT Chest screening

Low Dose CT Chest คือ การตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์บริเวณทรวงอกด้วยปริมาณรังสีที่ต่ำให้ภาพ 3 มิติที่ให้รายละเอียดได้ดีในบริเวณปอด แม้ใช้ปริมาณรังสีไม่สูงมากและไม่ต้องฉีดสารทึบแสงก็สามารถตรวจพบจุดเล็ก ๆ หรือก้อนในปอดได้ดี จากการศึกษาทางคลินิกพบว่า การตรวจคัดกรองมะเร็งปอดระยะเริ่มต้น ด้วยวิธี LDCT ประจำปี สามารถลดอัตราการเสียชีวิตจากโรคมะเร็งปอดได้สูงถึงร้อยละ 20 ในคนที่เป็นกลุ่มเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งปอด เนื่องจากการตรวจพบมะเร็งปอดในระยะเริ่มต้น ขณะที่ยังไม่แสดงอาการใด ๆ นั้น มีโอกาสรักษาหายได้มากกว่า โดยที่ผู้ป่วยได้รับปริมาณรังสีจากการตรวจน้อยกว่าการตรวจด้วยวิธีเอกซเรย์คอมพิวเตอร์แบบมาตรฐาน (Computed Tomography (CT)–Chest) ซึ่งจากการวิจัยของ National Lung Screening Trial (NLST) ในประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อตรวจคัดกรองในกลุ่มคนที่มีความเสี่ยงสูง เช่น กลุ่มที่สูบบุหรี่จัด และมีอายุมากกว่า 50 ปี (High Risk Group) ด้วย Low Dose CT (LDCT) สามารถลดอัตราการตายจากมะเร็งปอดได้ 15 – 20% เมื่อเทียบกับการทำ Screen ด้วย X – ray ทรวงอกปกติ ข้อดีของการทำ Low Dose CT ได้ภาพสามมิติที่ให้รายละเอียดได้ดีกว่า Chest X – ray ซึ่งเป็นภาพ 2 มิติ ตรวจพบมะเร็งระยะแรกได้ชัดเจนกว่า Chest X-ray ตรวจง่าย ใช้เวลาไม่นาน ผลข้างเคียงน้อย ข้อเสียของการทำ Low Dose CT ได้รับรังสี (แต่ก็ปริมาณน้อย) ราคาสูงกว่าการทำ Chest X – ray วิธีการเตรียมตัวและการตรวจ Low Dose CT Chest ไม่ต้องงดอาหาร สามารถทำได้เลย ไม่ต้องมีการเตรียมตัวพิเศษหรือเจาะเลือด เปลี่ยนชุดแล้วนอนบนเตียงตรวจในเครื่อง CT กลั้นหายใจระหว่างการตรวจประมาณ 15-20 วินาที ใช้เวลาตรวจทั้งหมดประมาณ 5 – 10 นาที (บนเครื่อง CT Scanner) การแปลผล เมื่อตรวจเสร็จแล้วรังสีแพทย์จะดูว่ามีจุดหรือก้อนหรือไม่ ขนาดและรูปร่างเป็นอย่างไร เพื่อจะดูว่ามีโอกาสจะเป็นเนื้อร้ายมากน้อยแค่ไหน กรณีที่สงสัยมากอาจจะแนะนำให้ตรวจเพิ่มเติมด้วย CT หรือ PET/CT หรือเจาะตรวจชิ้นเนื้ออีกที ถ้าไม่สงสัยหรือสงสัยน้อยก็จะแนะนำให้ตรวจซ้ำปีละครั้ง ข้อควรทราบ ผลการตรวจที่ผิดปกติที่รายงาน ไม่สามารถบอกได้ว่าก้อนหรือจุดดังกล่าวในปอดเป็นมะเร็งหรือไม่ แพทย์จะเป็นคนแจ้งผลและให้คำแนะนำที่เหมาะสมกับท่านต่อไป ผลการตรวจที่ผิดปกติที่รายงาน ไม่ได้รับรองท่านได้ว่า ในอนาคตก้อนหรือจุดดังกล่าวจะไม่เป็นมะเร็งปอด ซึ่งตามคำแนะนำที่เหมาะสม ท่านต้องติดตามการตรวจเอกซเรย์คอมพิวเตอร์แบบใช้ปริมาณรังสีต่ำ (low-dosecomputed tomography, LDCT) ต่อเนื่องอย่างน้อยทุก 1 ปี สอบถามเพิ่มเติมได้ที่โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี 039-319888

เยื่อหุมปอดอักเสบ

เยื่อหุมปอดอักเสบ

เยื่อหุมปอดอักเสบ (Pleuritis / Pleurisy) เยื่อหุ่มปอดอักเสบ มักมีอาการไม่รุนแรงและส่วนมากจะหายได้เองใน 2-3 วัน (มักไม่เกิน 5 วัน) ซึ่งพบได้หลังจากเป็นหวัด สาเหตุ ส่วนใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัส ส่วนน้อยพบร่วมกับโรคของปอด เช่น ปอดอักเสบ วัณโรคปอด ปอดทะลุ ภาวะมีน้ำหรือหนองในช่องหุ้มปอด ฝีในปอด เป็นต้น อาการ มักมีอาการเจ็บแปล๊บเพียงชั่วไม่กี่วินาทีที่หน้าอกซีกใดซีกหนึ่ง เป็นครั้งคราวเฉพาะเวลาหายใจเข้าลึก ๆ เวลาไอหรือจาม มักไม่มีไข้ ตรวจร่างกายมักไม่พบความผิดปกติ ในรายที่เกิดเยื่อหุ้มปอดอักเสบที่พบร่วมกับโรคอื่น อาจมีอาการ ไข้สูง หอบ ปอดมีเสียงกรอบแกรบ การรักษา หากเจ็บหน้าอกรุนแรง มีไข้สูง หอบเหนื่อย ควรเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล สอบถามเพิ่มเติมได้ที่คลินิกโรคปอดและระบบทางเดินหายใจ

LONG COVID เรื่องต้องรู้เมื่อหายจากโควิด-19

LONG COVID เรื่องต้องรู้เมื่อหายจากโควิด-19

ผู้ป่วย COVID-19 มีอาการและความรุนแรงของโรคแตกต่างกัน รวมถึงการฟื้นฟูร่างกายได้ไม่เท่ากัน ดังนั้นจึงควรรู้ถึงอาการระยะยาวที่อาจเกิดขึ้นกับร่างกายหรือที่เรียกว่าลองโควิด (Long COVID) เพื่อจะได้รู้เท่าทัน เตรียมพร้อมรับมือ และดูแลตัวเองให้ถูกวิธี รู้จักกับลองโควิด ลองโควิด (Long COVID) เป็นภาวะหรืออาการที่เกิดขึ้นกับผู้ป่วยโควิด-19 หลังจากได้รับเชื้อนาน 4 สัปดาห์ไปจนถึง 12 สัปดาห์ขึ้นไป ซึ่งอาการที่พบมีหลากหลายและแตกต่างกัน โดยลองโควิดส่วนใหญ่มักพบในผู้ป่วยโควิด-19 ที่เชื้อลงปอดและมีโรคเรื้อรังร่วมด้วย และพบในผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย ส่งผลให้ปอดทำงานหนัก ปอดไม่แข็งแรง จากเดิมที่ปอดมีความยืดหยุ่น ปอดจะเริ่มแข็งและอาจเกิดรอยโรคอย่างแผลหรือพังผืดต่าง ๆ ในเนื้อปอด ส่งผลให้แลกเปลี่ยนออกซิเจนได้ไม่เต็มที่ เหนื่อยง่ายกว่าปกติ หายใจไม่เต็มปอด และมีอาการผิดปกติอื่น ๆ ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล อาการลองโควิดที่พบนั้นมีมากมาย แต่อาการที่พบบ่อย ได้แก่ อ่อนเพลียเรื้อรัง เหนื่อยง่าย อ่อนแรง หายใจลำบาก หายใจติดขัด หายใจไม่อิ่ม ปวดศีรษะ สมาธิจดจ่อลดลง ความจำผิดปกติ ไอ เจ็บแน่นหน้าอก ปวดกล้ามเนื้อ ข้อต่อ ท้องร่วง ท้องเสีย จมูกไม่ได้กลิ่น ลิ้นไม่รับรส ซึมเศร้า เครียด วิตกกังวล รักษาลองโควิด การหมั่นสังเกตความผิดปกติของตนเองหลังหายจากโควิด-19 เป็นเรื่องสำคัญ เพราะแพทย์จะรักษาลองโควิดตามอาการเป็นหลัก ดังนั้นหากมีอาการแล้วพบแพทย์โดยเร็ว ย่อมช่วยให้รักษาได้ทันท่วงที นอกจากนี้การตรวจร่างกายเป็นประจำตามคำแนะนำของแพทย์จะช่วยให้รู้ทันความผิดปกติที่เกิดขึ้นและดูแลตนเองได้อย่างเหมาะสม ภาวะแทรกซ้อนในระยะยาวที่อาจเกิดจากลองโควิด ได้แก่ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ (Myocarditis) สมองล้า (Brain Fog) ภาวะพร่องทางระบบประสาทอัตโนมัติ (Dysautonomia) ภาวะ Guillain – Barre Syndrome โรคไฟโบรมัยอัลเจีย (Fibromyalgia) โรคนอนไม่หลับ (Insomnia) อย่าออกกำลังมากไป สำหรับคนที่หายป่วยจากโควิด-19 ยังไม่แนะนำให้ออกกำลังกายมากเกินไปและออกกำลังกายจนเหนื่อยเกินไป ควรปรับให้เป็นการออกกำลังแบบเบา ๆ เช่น เคยวิ่งอาจปรับเป็นเดินก่อน เป็นต้น เพื่อให้ปอดไม่ทำงานหนักจนเกินไปและร่างกายค่อย ๆ ฟื้นตัวและปรับตัวกลับสู่สภาวะที่แข็งแรง ปัจจุบันภาวะลองโควิดยังไม่มีสาเหตุที่แน่ชัดแต่สามารถทำให้เกิดความผิดปกติกับร่างกายและจิตใจของผู้ที่หายจากโควิด-19 ได้ แพทย์จึงแนะนำให้สังเกตตัวเองอย่างละเอียด ประเมินร่างกายตนเองอยู่เสมอ และฟื้นฟูร่างกายอย่างถูกต้อง หากมีอาการที่รบกวนการใช้ชีวิตต้องรีบพบแพทย์เพื่อรักษาทันที อย่าปล่อยทิ้งไว้จนรุนแรงและเรื้อรัง สอบถามเพิ่มเติมได้ที่แผนกโรคระบบทางเดินหายใจ 039-319888

หืดหอบ (Asthma)

หืดหอบ (Asthma)

หืดหอบ (Asthma) หืดหอบ เป็นโรคที่พบได้ทุกเพศทุกวัย มักมีอาการเมื่ออากาศหนาว เมื่อไม่มีอาการสุขภาพโดยรวมจะดูปกติแข็งแรงเหมือนคนทั่วไป สาเหตุ เกิดจากการตีบแคบของหลอดลม ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับพันธุกรรม หรือบางรายเกิดอาจมีการติดเชื้อทางเดินหายใจเป็นตัวกระตุ้นให้เกิดอาการ อาการ แน่นหน้าอก หายใจลำบาก โดยเฉพาะช่วงหายใจออก หากเป็นมาก ๆ จะนอนไม่สบายตัว มักลกขึ้นนั่งฟุบกับโต๊ะและหอบตัวโยน มีเสียงดังฮืด ๆ ผู้ป่วยมักไอมาก มีเสมหะเหนียว อาจมีอาการคันจมูก คันคอ เป็นหวัด หรือจามนำมาก่อน ส่วนใหญ่ไม่มีไข้ ในรายที่มีไข้มักเป็นหืดร่วมกับอาการของไข้หวัด หรือหลอดลมอักเสบ อาการแทรกซ้อน หากเป็นรุนแรงจะทำให้หอบต่อเนื่องเป็นเวลานานได้ (Status asthmaticus) หากเป็นเรื้อรัง อาจทำให้เป็นถุงลมโป่งพอง หลอดลมอักเสบ ปอดอักเสบ ปอดแฟบ ปอดทะลุ การรักษา ถ้าเป็นไม่มาก ไม่จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาล แนะนำให้ปฏิบัติตนและรับประทานยาตามแผนการรักษาของแพทย์อย่างเคร่งครัด กรณีรับประทานยาแล้วอาการไม่ดีขึ้น หรือมีอาการมากขึ้น ควรปรึกษาแพทย์