กายภาพบำบัด ช่วยฟื้นฟูผู้ป่วยหลอดเลือดสมอง

กายภาพบำบัดช่วยฟื้นฟูผู้ป่วยหลอดเลือดสมอง

กายภาพบำบัดอีกหนึ่งตัวช่วยผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง ช่วยฟื้นฟูให้กลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้

โรคหลอดเลือดสมอง (cerebrovascular disease หรือ Stroke) เป็นโรคที่ก่อให้เกิดภาวะอัมพฤกษ์อัมพาต ทำให้ผู้ป่วยสูญเสียความสามารถในการบังคับอวัยวะต่างๆ รวมถึงไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ตามปกติจนเกิดเป็นภาวะทุพลภาพหรือเป็นอัมพฤกษ์อัมพาตได้ การเข้ารับการรักษาทางเวชศาสตร์ฟื้นฟูและกายภาพบำบัด ก็เพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกายให้กลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างเป็นปกติมากที่สุด

เป้าหมายของการฟื้นฟูร่างกายจากโรคหลอดเลือดสมอง

  1. การเคลื่อนไหว ปัญหากล้ามเนื้อแขนขาอ่อนแรงที่เกิดขึ้น ส่งผลต่อการนั่ง การยืน และการเดิน ผู้ป่วยควรได้รับการรักษาทางกายภาพบำบัดเพื่อฟื้นฟูการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อแขนขา เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ความสมดุลในการทรงตัว การฝึกนั่ง ยืน และเดิน ตลอดจนการฝึกการทำกิจวัตรประจำวันต่างๆ เช่น การรับประทานอาหาร การใส่เสื้อผ้า การอาบน้ำ เป็นต้น
  2. การกลืน ในบางราย ในระยะแรกอาจมีปัญหาเรื่องการกินและการกลืน หรืออาจจำเป็นต้องใส่สายยางให้อาหาร ซึ่งผู้ป่วยต้องได้รับการประเมินเพื่อฝึกการกินและการกลืนน้ำ จะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถกลับไปดื่มน้ำและกินอาหารเมื่ออยู่ที่บ้านได้อย่างปลอดภัย
  3. การสื่อสาร ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองที่เกิดจากความผิดปกติจากสมองซีกซ้าย มักจะมีปัญหาเรื่องการควบคุมการพูด การเข้าใจและการรับรู้ภาษา ทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถสื่อสารได้ จึงควรได้รับการฟื้นฟูด้วยการฝึกการพูด ฝึกการเข้าใจและการรับรู้ภาษา เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถสื่อสารได้อย่างถูกต้องและมากที่สุด
  4. ปัญหาแทรกซ้อนอื่นๆ ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง มักมีภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ เกิดขึ้น เช่น กล้ามเนื้อแข็งเกร็ง ข้อยึดติด ข้อไหล่เคลื่อนหลุด เป็นต้น ซึ่งผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับการรักษาทางกายภาพบำบัดเพื่อรักษาและป้องกันภาวะแทรกซ้อน เช่น ภาวะกล้ามเนื้อแข็งเกร็งอาจลดได้โดยการใช้เครื่องมือทางกายภาพบำบัด การนวดหรือยืดคลายกล้ามเนื้อ การเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อ การจัดท่า หรือการใช้อุปกรณ์เพื่อช่วยลดเกร็ง เป็นต้น

กายภาพบำบัดช่วยฟื้นฟูสุขภาพได้อย่างไร

  1. ช่วยฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกาย ช่วยลดปวดตามอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย เป็นการเพิ่มความสามารถในการเคลื่อนไหว เพิ่มความแข็งแรงของอวัยวะที่ได้รับบาดเจ็บ
  2. ช่วยส่งเสริมให้ผู้ป่วยกลับไปทำกิจวัตรประจำวันได้อย่างเป็นปกติ ตลอดจนรู้จักป้องกันตนเองเพื่อไม่ให้เกิดการบาดเจ็บซ้ำ ซึ่งเป็นสาเหตุให้ร่างกายเสื่อมสมรรถภาพในการเคลื่อนไหวต่อเนื่องไปอีก

กลุ่มผู้ป่วยกับเป้าหมายในการทำกายภาพบำบัด

ผู้ป่วยที่มีปัญหาบาดเจ็บ ทุพลภาพ เคลื่อนไหวลำบาก ควรเข้ารับการรักษาทางกายภาพบำบัดเพื่อรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพ ตลอดจนเพื่อส่งเสริมให้มีสุขภาพที่ดีขึ้น ร่วมกับป้องกันการบาดเจ็บซ้ำที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ดังนี้

1.กลุ่มผู้ป่วยที่มีการบาดเจ็บทางระบบโครงร่างและกล้ามเนื้อ

เป็นผู้ป่วยที่มีการบาดเจ็บและส่งผลให้เกิดอาการปวด รวมถึงการเคลื่อนไหวส่วนต่างๆ ของร่างกายลดลง ซึ่งมักจะเกิดขึ้นกับเนื้อเยื่อ เช่น กล้ามเนื้อ เอ็นกล้ามเนื้อ หรือเอ็นข้อต่อ ข้อต่อ และกระดูก เป้าหมายในการรักษาผู้ป่วยกลุ่มนี้จะเน้นไปที่การบรรเทาอาการปวด โดยการใช้เครื่องมือทางกายภาพบำบัด การยืด การนวด หรือการดัดดึงเพื่อช่วยให้เนื้อเยื่อมีความยืดหยุ่นเพิ่มขึ้น ทำให้สามารถเคลื่อนไหวได้มากขึ้น รวมถึงการฝึกออกกำลังกายเพื่อส่งเสริมความแข็งแรงของเนื้อเยื่อ เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ ตลอดจนป้องกันการบาดเจ็บซ้ำที่อาจจะเกิดขึ้นได้

2.กลุ่มผู้ป่วยที่มีปัญหาสุขภาพที่เกิดจากระบบประสาท ระบบหัวใจและหลอดเลือด ระบบหายใจและอื่น ๆ

ผู้ป่วยกลุ่มนี้มักมีปัญหาเรื่องอาการอ่อนแรง การหายใจลำบาก การทรงตัว การยืน หรือการเดินที่ผิดปกติ เป้าหมายในการรักษาจะเน้นไปที่การฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกายด้านความแข็งแรง การหายใจ การทรงตัว การยืนหรือการเดิน เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันหรือเข้าสังคมได้อย่างเป็นปกติหรือใกล้เคียงปกติ หรือกลับไปใช้ชีวิตโดยมีอุปกรณ์ช่วยเหลือต่อไปได้ ซึ่งอาจจะต้องใช้บุคลาการทางการแพทย์หรือสหวิชาชีพเข้าร่วมวางแผนในการฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกายต่อไปด้วย

ขอบคุณข้อมูลจาก : BDMS สถานีสุขภาพ

บทความที่เกี่ยวข้อง

ท่านอนลดอาการปวดหลัง เสริมสร้างคุณภาพการนอนดีขึ้น

ท่านอนลดอาการปวดหลัง เสริมสร้างคุณภาพการนอนดีขึ้น

ท่านอนลดอาการปวดหลัง เสริมสร้างคุณภาพการนอนดีขึ้น เชื่อว่าหลายคนคงมีประสบการณ์ตื่นขึ้นมาแล้วปวดหลัง พาลทำให้คุณภาพการนอนของเราแย่ลงใช้ชีวิตลำบากขึ้น แก้ ด้วย 3 ท่านอนนี้! จะช่วยถนอมหลังของคุณได้! อาการปวดหลัง ส่วนใหญ่เกิดจาก ความเครียด น้ำหนักส่วนเกิน การยกของผิดวิธี การนั่งในท่าใดท่าหนึ่งนานๆ หรือท่านอนที่ไม่เหมาะสม ล้วนเป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดอาการปวดหลังได้นะคะ ซึ่งการทำกายภาพบำบัดเป็นอีกหนึ่งวิธีในการรักษา เช่นเดียวกับการปรับเปลี่ยนท่านอนที่เหมาะสม จะช่วยให้สามารถช่วยป้องกันและบรรเทาอาการปวดหลังได้ 3 ท่านอนลดอาการปวดหลัง นอนตะแคงข้างก่ายหมอน นอนตะแคงข้างที่ถนัด หนุนหมอนที่ศีรษะตามปกติ งอเข่าทั้งสองข้างและวางหมอนหนุนไว้ระหว่างขาทั้งสองข้าง เพื่อป้องกันไม่ให้เข่าแตะที่นอน เพราะกระดูกสันหลังส่วนล่างจะพลิก ซึ่งก่อให้เกิดอาการปวดหลังและสะโพกได้ นอนหงายหนุนเข่า นอนหงายหนุนหมอนที่ศีรษะ ปล่อยตัวตามสบายโดยวางหมอนหนุนอีกใบไว้ใต้หัวเข่าทั้งสองข้าง เพื่อช่วยรักษาความโค้งของกระดูกสันหลังส่วนล่าง ท่านี้เหมาะสำหรับผู้มีอาการปวดหลังที่ไม่รุนแรงมากนัก นอนคว่ำหนุนหน้าท้อง หากคุณไม่สามารถนอนท่าอื่นๆ ได้ และจำเป็นต้องนอนคว่ำ ให้นอนหนุนหมอนบริเวณช่วงคอและหน้าอกส่วนบน โดยหันใบหน้าไปด้านใดด้านหนึ่ง และนำหมอนหนุนอีกใบวางไว้ใต้บริเวณสะโพก เพื่อผ่อนคลายความตึงของแผ่นหลัง และหากยังรู้สึกตึงหรือเจ็บปวดอยู่ให้นำหมอนหนุนที่ศีรษะออก ขอบคุณข้อมูลจาก : BDMS สถานีสุขภาพ

การออกำลังกายเพื่อลดปวดคอ บ่า ไหล่

การออกำลังกายเพื่อลดปวดคอ บ่า ไหล่

การออกกำลังกายเพื่อลดอาการปวดคอ บ่า ไหล่

การออกกำลังกายหลังผ่าตัดเต้านม

การออกกำลังกายหลังผ่าตัดเต้านม

ข้อควรปฏิบัติหลังผ่าตัดเต้านม ควรสังเกตลักษณะผิวหนังว่า มีการเปลี่ยนแปลงของสีผิว หรือมีอาการปวดหรือบวมมากขึ่นหรือไม่ ดูแลผิวหนังให้ชุ่มชื้และสะอาดอยู่เสมอ และดื่มน้ำสะอาดให้เพียงพอ (6 แก้ว / วัน) เมื่อต้องออกนอกบ้านหรืออยู่กลางแจ้ง ควรสวมใส่เสื้อแขนยาว เพื่อป้องกันการขีดข่วนหรือการเกิดบาดแผล แมลงสัตว์กัดต่อย และแสงแดดที่ทำให้เกิดผิวไหม้จากแสงแดดได้ ไม่ควรสวมใส่เสื้อผ้า ยกทรง และเครื่องประดับที่รัดแน่นเกินไป หลีกเลี่ยงการถือกระเป๋าหรือของหนักมากกว่า 4 กิโลกรัม หรือการทํากิจกรรมที่มีการเคลื่อนไหวซ้า ๆ ของแขนข้างที่ผ่าตัด เช่น การถูบ้าน รีดผ้าหรือซักผ้า ในปริมาณมากๆ เป็นต้น หากต้องนั่งเป็นเวลานานมากกว่า 1 ชั่วโมง ควรยกแขนข้างที่ผ่าตัดให้สูงกว่าระดับหัวใจ ร่วมกับมีการเคลื่อนไหวของแขนข้างนั้นเป็นครั้งคราว เพื่อลดการบวมของแผลผ่าตัด หลีกเลี่ยงการอบซาวน่า หรือประคบร้อนบริเวณแผลผ่าตัดที่ยังไม่หายดี ไม่ควรนอนตะแคงทับข้างที่ผ่าตัด ข้อห้ามในการออกกําลังกาย มีอาการอ่อนล้า และกล้ามเนื้ออ่อนแรงผิดปกติ มีอาการปวดแผล หรือปวดกล้ามเนื้อมากๆ หรือเป็นตะคริว ชีพจรเต้นไม่สม่ำเสมอ และ มีอาการเจ็บหน้าอก มีอาการคลื่นไส้ ความดันโลหิตลดลง หัวใจเต้นช้าลงหรือเร็วมากผิดปกติ ขณะออกกําลังกาย มีอาเจียนหรือท้องเสีย ในช่วง 24-36 ชั่วโมง ก่อนออกกําลังกาย มีอาการสับสน มึนงง มองภาพไม่ชัด เวียนศีรษะ หน้าซีด เป็นลม หลังการทําเคมีบําบัด 24 ชั่วโมง ควรงดออกกําลังกาย ประโยชน์ของการออกกําลังกาย ป้องกันการติดแข็งของข้อต่อต่างๆ โดยเฉพาะข้างที่ผ่าตัด ช่วยเพิ่มการเคลื่อนไหว และความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อและเอ็น ช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ช่วยเพิ่มการไหลเวียนเลือด และระบบน้ำเหลือง ช่วยทําให้สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจําวัน และทํากิจกรรมต่าง ๆ ได้เร็วขึ้น การออกกำลังกาย ท่าละ 10 ครั้ง วันละ 2-3 รอบ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี 039-319888

การรักษาด้วยคลื่นกระแทก

การรักษาด้วยคลื่นกระแทก

รักษาอาการปวดด้วยคลื่นแม่เหล็ก

รักษาอาการปวดด้วยคลื่นแม่เหล็ก

อาการชามือจากอฟฟิศซินโดรม

อาการชามือจากอฟฟิศซินโดรม

อาการชามือจากอฟฟิศซินโดรม อาการชามือเป็นหนึ่งในอาการของโรคออฟฟิศซินโดรม พบได้บ่อยในวัยทำงาน โดยเฉพาะผู้ที่ทำงานใช้นิ้วมือมากเกินไปจนเกิดการเกร็ง การกดเบียด และสั่นสะเทือนถึงเส้นประสาท ทำให้เกิดอาการชาขึ้นได้ ซึ่งมักจะเริ่มจากอาการชาที่ฝ่ามือและนิ้ว ในขณะที่ใช้งานอย่างต่อเนื่อง หากเป็นมากอาจมีอาการชาจนเหมือนเป็นเหน็บทั้งที่ไม่ได้ใช้งานอยู่ บางรายอาจปวดตอนกลางดึกจนต้องตื่นมาบวดฝ่ามือ ซึ่งอาการดังกล่าวหากปล่อยไว้นานจะทำให้เกิดอาการอ่อนกำลังของมือจนถึงเกิดอาการฝ่อลีบของกล้ามเนื้อมือได้ สาเหตุของอาการมือชา อาการมือชาจากออฟฟิศซินโดรมส่วนมากเกิดจากหารหนาตัวของเอ็นกระดูกบริเวณข้อมือหรือที่บริเวณอุโมงค์ข้อมือจนกดรัดเส้นประสาทที่ไปเลี้ยงกล้ามเนื้อฝ่ามือ และเส้นประสาทที่ทำหน้าที่รับความรู้สึกที่ฝ่ามือ เมื่อมีการเคลื่อนไหวของข้อมือมาก ๆ จึงทำให้เกิดการระคายมากขึ้น ผู้ที่มีควมเสี่ยงเกิดอาการมือชา พนักงานออฟฟิศ ใช้งานคอมพิวเตอร์หรือโทรศัพทืเป็นเวลานาน กุ๊ก แม่ครัว ช่างทำผม แม่บ้าน-พนักงานทำความสะอาด ผู้ป่วยเบาหวาน โรคข้ออักเสบรูมาตอยด์ สตรีตั้งครรภ์ ผู้ป่วยโรคไตเรื้อรัง ผู้ป่วยที่มีข้อต่อกระดูกคอเสื่อม รวมถึงการขาดวิตามินบี การป้องกันและรักษาอาการมือชา ลดการใช้งาน เปลี่ยนพฤติกรรม หรือจัดท่าการใช้งานให้เหมาะสม ไม่ควรงอข้อมือมากเกินไป ใช้อุปกรณ์ช่วยประคองข้อมือสำหรับคนที่ใช้คอมพิวเตอร์เพื่อให้ข้อมือพัก การรัษาอาการมือชา รักษาด้วยยาต้านการอักเสบ กำจัดปัจจัยเสี่ยง เช่น หากเกิดจากการใช้งานเยอะ ให้พักใช้ชั่วคราว ลดการสั่นสะเทือน ปรับท่าการใช้งานแขนและมืออย่างเหมาะสม บริหารกล้ามเนื้อแขนและมือ ทำกายภาพหรือนวดอย่างถูกวิธี กรณีขาดวิตามินบี แพทย์อาจพิจารณารักษาด้วยการให้วิตามินบี การผ่าตัดเอ็นที่ไปกดรัดเส้นประสาทนั้น ขอขอบคุณข้อมูลจาก : เว็บไซต์โรงพยาบาลศิริราชปิยมหาราชการุณย์