ท่านอนลดอาการปวดหลัง เสริมสร้างคุณภาพการนอนดีขึ้น

ท่านอนลดอาการปวดหลัง เสริมสร้างคุณภาพการนอนดีขึ้น

เชื่อว่าหลายคนคงมีประสบการณ์ตื่นขึ้นมาแล้วปวดหลัง พาลทำให้คุณภาพการนอนของเราแย่ลงใช้ชีวิตลำบากขึ้น แก้ ด้วย 3 ท่านอนนี้! จะช่วยถนอมหลังของคุณได้!

อาการปวดหลัง ส่วนใหญ่เกิดจาก ความเครียด น้ำหนักส่วนเกิน การยกของผิดวิธี การนั่งในท่าใดท่าหนึ่งนานๆ หรือท่านอนที่ไม่เหมาะสม ล้วนเป็นปัจจัยที่ก่อให้เกิดอาการปวดหลังได้นะคะ ซึ่งการทำกายภาพบำบัดเป็นอีกหนึ่งวิธีในการรักษา เช่นเดียวกับการปรับเปลี่ยนท่านอนที่เหมาะสม จะช่วยให้สามารถช่วยป้องกันและบรรเทาอาการปวดหลังได้

3 ท่านอนลดอาการปวดหลัง

  • นอนตะแคงข้างก่ายหมอน

นอนตะแคงข้างที่ถนัด หนุนหมอนที่ศีรษะตามปกติ งอเข่าทั้งสองข้างและวางหมอนหนุนไว้ระหว่างขาทั้งสองข้าง เพื่อป้องกันไม่ให้เข่าแตะที่นอน เพราะกระดูกสันหลังส่วนล่างจะพลิก ซึ่งก่อให้เกิดอาการปวดหลังและสะโพกได้

  • นอนหงายหนุนเข่า

นอนหงายหนุนหมอนที่ศีรษะ ปล่อยตัวตามสบายโดยวางหมอนหนุนอีกใบไว้ใต้หัวเข่าทั้งสองข้าง เพื่อช่วยรักษาความโค้งของกระดูกสันหลังส่วนล่าง ท่านี้เหมาะสำหรับผู้มีอาการปวดหลังที่ไม่รุนแรงมากนัก

  • นอนคว่ำหนุนหน้าท้อง

หากคุณไม่สามารถนอนท่าอื่นๆ ได้ และจำเป็นต้องนอนคว่ำ ให้นอนหนุนหมอนบริเวณช่วงคอและหน้าอกส่วนบน โดยหันใบหน้าไปด้านใดด้านหนึ่ง และนำหมอนหนุนอีกใบวางไว้ใต้บริเวณสะโพก เพื่อผ่อนคลายความตึงของแผ่นหลัง และหากยังรู้สึกตึงหรือเจ็บปวดอยู่ให้นำหมอนหนุนที่ศีรษะออก

ขอบคุณข้อมูลจาก : BDMS สถานีสุขภาพ

บทความที่เกี่ยวข้อง

โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี พร้อมดูแลผู้บาดเจ็บจากการกีฬา ด้วยเทคโนโลยีทันสมัย

โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี พร้อมดูแลผู้บาดเจ็บจากการกีฬา ด้วยเทคโนโลยีทันสมัย

โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี พร้อมดูแลผู้บาดเจ็บจากการกีฬา ด้วยเทคโนโลยีทันสมัย คุณทวีศักดิ์ รติภูรี นักฟุตบอลอาชีพ ทีมสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตัวแทนทีมชาติไทยในการแข่งขันฟุตบอลอาเซียนที่ประเทศเวียดนาม ประสบอาการบาดเจ็บที่หัวเข่าขวา ระหว่างการฝึกซ้อมและแข่งขัน โดยมีการบาดเจ็บหลายจุด ได้แก่• เอ็นไขว้หน้าฉีกขาด (ACL tear)• เอ็นด้านในฉีกขาด (MCL injury)• หมอนรองเข่าด้านนอกฉีกขาด (Lateral meniscus tear)อาการดังกล่าวทำให้เข่าไม่มั่นคง เสี่ยงต่อการบาดเจ็บซ้ำ และอาจส่งผลต่อการลงสนามในอนาคต หลังจากเข้ารับการตรวจ MRI ยืนยันอาการบาดเจ็บ จึงตัดสินใจเข้ารับการผ่าตัดที่โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี โดยเลือกใช้เทคนิค ส่องกล้องผ่าตัดซ่อมแซมเอ็นและหมอนรองเข่า (Arthroscopic ACL, MCL and Lateral Meniscus repair) ซึ่งเป็นเทคโนโลยีที่ช่วยให้แผลเล็ก เจ็บน้อย และฟื้นตัวได้เร็วการผ่าตัดดำเนินการโดยพญ.อัญชิสา ลีวิสุทธิกุล ศัลยแพทย์ออร์โธปิดิกส์ เฉพาะทางเวชศาสตร์การกีฬาและการผ่าตัดส่องกล้องข้อเข่าจุดเด่นการรักษาที่โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี แผลเล็ก เจ็บน้อย ลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อน ทีมแพทย์เฉพาะทางด้านกระดูกและข้อกว่า 20 ท่าน ร่วมกันให้การดูแลแบบสหสาขาวิชาชีพ การฟื้นฟูต่อเนื่องโดยทีมเวชศาสตร์การกีฬาและนักกายภาพบำบัด ที่พร้อมวางแผนฟื้นฟูรายบุคคล ดูแลครบวงจร ตั้งแต่ก่อนการผ่าตัด ระหว่างพักฟื้น ไปจนถึงการกลับเข้าสนามแข่งขัน โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี ขอขอบพระคุณในความไว้วางใจที่มอบให้ เพราะเราเชื่อว่าความสำเร็จของการรักษาไม่ได้จบเพียงแค่การผ่าตัด แต่คือการช่วยให้ผู้ป่วยกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างมั่นใจ มีคุณภาพชีวิตที่แข็งแรง และพร้อมกลับไปทำในสิ่งที่รักได้อีกครั้งปัจจุบันคุณทวีศักดิ์อยู่ในระหว่างการฟื้นฟูสมรรถภาพ โดยมีทีมเวชศาสตร์ฟื้นฟูดูแลอย่างใกล้ชิด เพื่อให้สามารถกลับมาลงสนามแข่งขันในอนาคตได้อย่างเต็มศักยภาพ

รักษาอาการปวดด้วยคลื่นแม่เหล็ก

รักษาอาการปวดด้วยคลื่นแม่เหล็ก

ออกกำลังกายหนักเกินไปมีผลเสียอย่างไร

ออกกำลังกายหนักเกินไปมีผลเสียอย่างไร

ออกกำลังกายหนักเกินไปมีผลเสียอย่างไร การออกกำลังกายอย่างเหมาะสมมีผลดีต่อสุขภาพในหลายด้าน แต่ในทางกลับกัน การออกกำลังกายมากเกินไปก็สามารถทำให้เกิดผลเสียต่อร่ายกายตามมาได้เช่นกัน โดยการออกกำลังกายมากขึ้นอาจทำให้เกิดผลต่อร่างกายดังต่อไปนี้ เกิดการบาดเจ็บของร่างกาย รบกวนการนอนหลับ ระบบภูมิคุ้มกันบกพร่อง เกิดภาวะหัวใจล้มเหลว ออกกำลังกายแค่ไหนจึงจะเหมาะสม โดยทั่วไปการออกกำลังกายที่เหมาะสม คือ ครั้งละ 30 นาที สัปดาห์ละ 5 วัน ทั้งนี้ทั้งนั้นขึ้นกับประเภทและความหนักของการออกกำลังกายชนิดนั้น ๆ รวมถึงภาวะสุขภาพมีความแตกต่างกันตามแต่ละบุคคล ดังนั้นแนะนำให้ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ เทรนเนอร์ และแพทย์ประจำตัว(กรณีมีโรคประจำตัว) เพื่อการวางแผนออกกำลังกายอย่างเหมาะสมกับตนเอง สอบถามเพิ่มเติมได้ที่แผนกกายภาพบำบัด โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี 039-319888

กายภาพบำบัด ช่วยฟื้นฟูผู้ป่วยหลอดเลือดสมอง

กายภาพบำบัด ช่วยฟื้นฟูผู้ป่วยหลอดเลือดสมอง

กายภาพบำบัดช่วยฟื้นฟูผู้ป่วยหลอดเลือดสมอง กายภาพบำบัดอีกหนึ่งตัวช่วยผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง ช่วยฟื้นฟูให้กลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้ โรคหลอดเลือดสมอง (cerebrovascular disease หรือ Stroke) เป็นโรคที่ก่อให้เกิดภาวะอัมพฤกษ์อัมพาต ทำให้ผู้ป่วยสูญเสียความสามารถในการบังคับอวัยวะต่างๆ รวมถึงไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ตามปกติจนเกิดเป็นภาวะทุพลภาพหรือเป็นอัมพฤกษ์อัมพาตได้ การเข้ารับการรักษาทางเวชศาสตร์ฟื้นฟูและกายภาพบำบัด ก็เพื่อการฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกายให้กลับมาใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างเป็นปกติมากที่สุด เป้าหมายของการฟื้นฟูร่างกายจากโรคหลอดเลือดสมอง การเคลื่อนไหว ปัญหากล้ามเนื้อแขนขาอ่อนแรงที่เกิดขึ้น ส่งผลต่อการนั่ง การยืน และการเดิน ผู้ป่วยควรได้รับการรักษาทางกายภาพบำบัดเพื่อฟื้นฟูการเคลื่อนไหวของกล้ามเนื้อแขนขา เพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ความสมดุลในการทรงตัว การฝึกนั่ง ยืน และเดิน ตลอดจนการฝึกการทำกิจวัตรประจำวันต่างๆ เช่น การรับประทานอาหาร การใส่เสื้อผ้า การอาบน้ำ เป็นต้น การกลืน ในบางราย ในระยะแรกอาจมีปัญหาเรื่องการกินและการกลืน หรืออาจจำเป็นต้องใส่สายยางให้อาหาร ซึ่งผู้ป่วยต้องได้รับการประเมินเพื่อฝึกการกินและการกลืนน้ำ จะช่วยให้ผู้ป่วยสามารถกลับไปดื่มน้ำและกินอาหารเมื่ออยู่ที่บ้านได้อย่างปลอดภัย การสื่อสาร ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมองที่เกิดจากความผิดปกติจากสมองซีกซ้าย มักจะมีปัญหาเรื่องการควบคุมการพูด การเข้าใจและการรับรู้ภาษา ทำให้ผู้ป่วยไม่สามารถสื่อสารได้ จึงควรได้รับการฟื้นฟูด้วยการฝึกการพูด ฝึกการเข้าใจและการรับรู้ภาษา เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถสื่อสารได้อย่างถูกต้องและมากที่สุด ปัญหาแทรกซ้อนอื่นๆ ผู้ป่วยโรคหลอดเลือดสมอง มักมีภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ เกิดขึ้น เช่น กล้ามเนื้อแข็งเกร็ง ข้อยึดติด ข้อไหล่เคลื่อนหลุด เป็นต้น ซึ่งผู้ป่วยจำเป็นต้องได้รับการรักษาทางกายภาพบำบัดเพื่อรักษาและป้องกันภาวะแทรกซ้อน เช่น ภาวะกล้ามเนื้อแข็งเกร็งอาจลดได้โดยการใช้เครื่องมือทางกายภาพบำบัด การนวดหรือยืดคลายกล้ามเนื้อ การเคลื่อนไหวกล้ามเนื้อ การจัดท่า หรือการใช้อุปกรณ์เพื่อช่วยลดเกร็ง เป็นต้น กายภาพบำบัดช่วยฟื้นฟูสุขภาพได้อย่างไร ช่วยฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกาย ช่วยลดปวดตามอวัยวะต่างๆ ของร่างกาย เป็นการเพิ่มความสามารถในการเคลื่อนไหว เพิ่มความแข็งแรงของอวัยวะที่ได้รับบาดเจ็บ ช่วยส่งเสริมให้ผู้ป่วยกลับไปทำกิจวัตรประจำวันได้อย่างเป็นปกติ ตลอดจนรู้จักป้องกันตนเองเพื่อไม่ให้เกิดการบาดเจ็บซ้ำ ซึ่งเป็นสาเหตุให้ร่างกายเสื่อมสมรรถภาพในการเคลื่อนไหวต่อเนื่องไปอีก กลุ่มผู้ป่วยกับเป้าหมายในการทำกายภาพบำบัด ผู้ป่วยที่มีปัญหาบาดเจ็บ ทุพลภาพ เคลื่อนไหวลำบาก ควรเข้ารับการรักษาทางกายภาพบำบัดเพื่อรักษาและฟื้นฟูสมรรถภาพ ตลอดจนเพื่อส่งเสริมให้มีสุขภาพที่ดีขึ้น ร่วมกับป้องกันการบาดเจ็บซ้ำที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ดังนี้ 1.กลุ่มผู้ป่วยที่มีการบาดเจ็บทางระบบโครงร่างและกล้ามเนื้อ เป็นผู้ป่วยที่มีการบาดเจ็บและส่งผลให้เกิดอาการปวด รวมถึงการเคลื่อนไหวส่วนต่างๆ ของร่างกายลดลง ซึ่งมักจะเกิดขึ้นกับเนื้อเยื่อ เช่น กล้ามเนื้อ เอ็นกล้ามเนื้อ หรือเอ็นข้อต่อ ข้อต่อ และกระดูก เป้าหมายในการรักษาผู้ป่วยกลุ่มนี้จะเน้นไปที่การบรรเทาอาการปวด โดยการใช้เครื่องมือทางกายภาพบำบัด การยืด การนวด หรือการดัดดึงเพื่อช่วยให้เนื้อเยื่อมีความยืดหยุ่นเพิ่มขึ้น ทำให้สามารถเคลื่อนไหวได้มากขึ้น รวมถึงการฝึกออกกำลังกายเพื่อส่งเสริมความแข็งแรงของเนื้อเยื่อ เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้ ตลอดจนป้องกันการบาดเจ็บซ้ำที่อาจจะเกิดขึ้นได้ 2.กลุ่มผู้ป่วยที่มีปัญหาสุขภาพที่เกิดจากระบบประสาท ระบบหัวใจและหลอดเลือด ระบบหายใจและอื่น ๆ ผู้ป่วยกลุ่มนี้มักมีปัญหาเรื่องอาการอ่อนแรง การหายใจลำบาก การทรงตัว การยืน หรือการเดินที่ผิดปกติ เป้าหมายในการรักษาจะเน้นไปที่การฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกายด้านความแข็งแรง การหายใจ การทรงตัว การยืนหรือการเดิน เพื่อให้ผู้ป่วยสามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันหรือเข้าสังคมได้อย่างเป็นปกติหรือใกล้เคียงปกติ หรือกลับไปใช้ชีวิตโดยมีอุปกรณ์ช่วยเหลือต่อไปได้ ซึ่งอาจจะต้องใช้บุคลาการทางการแพทย์หรือสหวิชาชีพเข้าร่วมวางแผนในการฟื้นฟูสมรรถภาพร่างกายต่อไปด้วย ขอบคุณข้อมูลจาก : BDMS สถานีสุขภาพ

ท่านั่งที่ควรเปลี่ยน ถ้าไม่อยากมีอาการปวดหลัง

ท่านั่งที่ควรเปลี่ยน ถ้าไม่อยากมีอาการปวดหลัง

การนั่งทำงาน อาจจะดูสบาย ๆ แต่ถ้าทำต่อเนื่องเป็นเวลานาน ๆ อาจเป็นภัยเงียบที่คอยทำลายสุขภาพทีละนิดก็เป็นได้ การนั่งทำงานผิดท่าสามารถนำมาซึ่งผลกระทบต่อสุขภาพร้ายแรง บางคนต้องกินยาประจำ บางคนอาจต้องกายภาพบำบัด หรือบางคนอาจถึงขั้นต้องผ่าตัด แต่เพื่อไม่ให้ไปถึงขั้นนั้นควรรีบปรับตั้งแต่วันนี้ เพื่อสุขภาพที่ดีในวันข้างหน้า 4 ท่านั่งทำงาน ที่เสี่ยงทำลายสุขภาพระยะยาว 1.นั่งไขว่ห้าง 2.นั่งขัดสมาธิ 3.นั่งหลังงอ หลังค่อม 4.นั่งไม่เต็มก้น ทั้งนี้ควรปรับท่าทางการนั่งให้ถูกต้อง - ปรับเก้าอี้ให้ได้ระดับเดียวกับโต๊ะ - นั่งทำงานได้โดยที่ฝ่าเท้าแตะพื้นพอดี - ข้อศอกตั้งฉาก 90 องศา ขนานไปกับโต๊ะ - หลังต้องชิดติดกับพนักพิง - บริเวณก้นกบไม่ควรเหลือช่องว่าง - อาจหาหมอนเล็ก ๆ ม้วนผ้าขนหนู หรือใช้หมอนรองหลัง จะช่วยให้เรานั่งหลังตรงได้อัตโนมัติ ช่วยรับน้ำหนัก ทำให้แผ่นหลังไม่เกร็งตึง และนั่งทำงานนาน ๆ ได้สบายขึ้น นอกจากปรับท่านั่งแล้ว พื้นที่ทำงานควรมีแสงสว่างเพียงพอ เพื่อลดความเสี่ยงของจอประสาทตาเสื่อมจากการจ้องจอคอมพิวเตอร์นาน ๆ ควรอยู่ในที่ที่อากาศถ่ายเทสะดวก และอย่าลืมขยับท่าทางเปลี่ยนอิริยาบถ ลุกขึ้นเดินยืดเส้นยืดสายอย่างน้อยทุก ๆ 1-2 ชั่วโมง ให้เลือดได้ไหลเวียน และผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ฝึกทำให้ชินจนเป็นนิสัย จะได้ไม่ปวดหลัง ปวดไหล่ ขอบคุณข้อมูลจาก : BDMS Wellness Clinic และ BDMS สถานีสุขภาพ

การออกำลังกายเพื่อลดปวดคอ บ่า ไหล่

การออกำลังกายเพื่อลดปวดคอ บ่า ไหล่

การออกกำลังกายเพื่อลดอาการปวดคอ บ่า ไหล่