EP.1 : เปิดห้องผ่าตัดหัวใจแบบเปิด

EP.1 : เปิดห้องผ่าตัดหัวใจแบบเปิด — ความต่างที่ไม่เหมือนการผ่าตัดใดๆ “#เบื้องหลังการผ่าตัดที่แพทย์ต้อง#หยุดหัวใจ’ ของผู้ป่วย เพื่อซ่อมแซมและทำให้กลับมาเต้นได้อีกครั้ง”

การผ่าตัดหัวใจแบบเปิด (Open Heart Surgery) เป็นหนึ่งในหัตถการที่ซับซ้อนที่สุดในทางการแพทย์ แตกต่างจากการผ่าตัดทั่วไปทั้งในแง่สถานที่ เครื่องมือ ทีมบุคลากร และกระบวนการที่ต้องประสานงานอย่างแม่นยำทุกวินาที

1. #ห้องผ่าตัดที่ใหญ่และซับซ้อนกว่า

ห้องผ่าตัดหัวใจต้องมีพื้นที่กว้างเป็นพิเศษเพื่อรองรับเครื่องมือจำนวนมาก และต้องมีมาตรการความปลอดภัยสูงสุด เช่น

• ระบบแรงดันอากาศ (Air Pressure) เพื่อป้องกันการปนเปื้อน

• ระบบไฟฟ้าและก๊าซสำรอง เพื่อให้เครื่องมือทำงานต่อเนื่องแม้เกิดเหตุฉุกเฉิน

• ระบบบันทึกและการสื่อสาร เพื่อรายงานข้อมูลสำคัญให้ทีมทั้งหมดรับรู้พร้อมกันในระหว่างผ่าตัด

2. #เครื่องมือสำคัญที่ทำงานแทนหัวใจและปอด

#หัวใจผู้ป่วยจะถูก#หยุดชั่วคราว” เพื่อเปิดทางให้ศัลยแพทย์ทำงานได้อย่างปลอดภัย โดยมีเครื่องจักรและระบบสำคัญคอยสนับสนุน ได้แก่

• Heart-Lung Machine (เครื่องปอด-หัวใจเทียม): สูบฉีดเลือดและเติมออกซิเจนแทนหัวใจและปอด

• Monitoring System: ติดตามสัญญาณชีพแบบเรียลไทม์ เช่น คลื่นไฟฟ้าหัวใจ ความดัน ออกซิเจน และอุณหภูมิ

• เครื่องจี้ไฟฟ้าและเครื่องควบคุมการเสียเลือด

• Cell Saver: เก็บเลือดของผู้ป่วยเพื่อนำกลับมาใช้ ลดการพึ่งพาเลือดสำรอง

3. #ทีมผ่าตัดขนาดใหญ่และเฉพาะทาง

ห้องผ่าตัดหัวใจมีทีมหลายสิบชีวิตทำงานร่วมกัน ได้แก่

• ศัลยแพทย์หัวใจและทรวงอก ผู้ทำการผ่าตัดหลัก

• วิสัญญีแพทย์เฉพาะทางหัวใจ ดูแลยาสลบ สมดุลเกลือแร่และการทำงานของอวัยวะ

• Perfusionist ผู้เชี่ยวชาญควบคุมเครื่องปอด-หัวใจเทียม

• พยาบาลเฉพาะทางห้องผ่าตัด (Scrub Nurse และ Circulating Nurse)

• ทีมสนับสนุน เช่น นักเทคนิคการแพทย์, ช่างเทคนิค และทีม ICU ที่เตรียมพร้อมรับช่วงหลังผ่าตัดทันที

4. #ระบบ Lab ในห้องผ่าตัด

ห้องผ่าตัดหัวใจมีระบบ Lab อยู่ภายในเพื่อเจาะและตรวจเลือดได้ทันที โดยผลที่สำคัญ อาทิ

• ค่ากรด-ด่าง (ABG)

• ค่าเกลือแร่ (Electrolyte)

• การแข็งตัวของเลือด (Coagulation)

• ค่า Hematocrit/Hemoglobin

หากพบค่าที่ผิดปกติระดับ Critical Value ผลจะถูกส่งถึงทีมผ่าตัดทันทีเพื่อปรับการรักษาแบบเรียลไทม์ เช่น การให้เลือดหรือยา

5. #เทคนิคการดูแลหัวใจระหว่างผ่าตัด

• ใช้สารละลาย Cardioplegia ทำให้หัวใจหยุดเต้นอย่างปลอดภัย และช่วยลดการใช้ออกซิเจนของกล้ามเนื้อหัวใจ

• ควบคุมอุณหภูมิร่างกายผู้ป่วยให้อยู่ในระดับ Mild Hypothermia เพื่อชะลอการเผาผลาญและป้องกันการบาดเจ็บของอวัยวะ

• ใช้ Heparin ป้องกันการเกิดลิ่มเลือดในเครื่องปอด-หัวใจเทียม พร้อมตรวจ Coagulation ตลอดการผ่าตัดเพื่อควบคุมสมดุล

6. #เวลาและความแม่นยำ

การผ่าตัดหัวใจแบบเปิดใช้เวลาหลายชั่วโมง แต่ทุกนาทีถูกออกแบบอย่างเป็นระบบ ทีมแพทย์และเครื่องมือทำงานร่วมกันเหมือน “วงออร์เคสตรา” ที่ต้องแม่นยำไร้ข้อผิดพลาด เพื่อให้หัวใจที่หยุดลงชั่วคราว กลับมาเต้นอีกครั้งอย่างแข็งแรง

บทความที่เกี่ยวข้อง

EP.2 ทีมหอผู้ป่วยวิกฤต ICU ดูแลผู้ป่วยผ่าตัดหัวใจ

EP.2 ทีมหอผู้ป่วยวิกฤต ICU ดูแลผู้ป่วยผ่าตัดหัวใจ

EP.2 : #ทีมหอผู้ป่วยวิกฤต ICU ดูแลผู้ป่วยผ่าตัดหัวใจ “เมื่อการผ่าตัดสิ้นสุดลง… การดูแลที่เข้มข้นที่สุดเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น”ดูแลผู้ป่วยผ่าตัดหัวใจ — #จุดเริ่มต้นของการฟื้นตัวหลังการผ่าตัดหลังจากหัวใจผู้ป่วยถูกซ่อมแซมและกลับมาเต้นอีกครั้ง ขั้นตอนต่อมาคือการย้ายเข้าสู่ ICU หัวใจ (Cardiac Intensive Care Unit) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการฟื้นตัวใน 24–72 ชั่วโมงแรก⸻1. #ห้องและอุปกรณ์เฉพาะทาง ICU ที่มากกว่าห้อง ICUICU สำหรับดูแลผู้ป่วยหัวใจแตกต่างจาก ICU ทั่วไป เพราะต้องออกแบบให้รองรับผู้ป่วยผ่าตัดหัวใจโดยตรง• Bedside Monitoring: เครื่องเฝ้าติดตามสัญญาณชีพตลอด 24 ชั่วโมง (คลื่นไฟฟ้าหัวใจ ความดันเลือด ออกซิเจนในเลือด อุณหภูมิ)• Invasive Line: ท่อวัดความดันในหลอดเลือดใหญ่และหัวใจ เพื่อให้ได้ค่าที่ละเอียดมากขึ้น• Ventilator (เครื่องช่วยหายใจ): รองรับกรณีผู้ป่วยยังไม่สามารถหายใจเองได้เต็มที่หลังผ่าตัด• Infusion Pump & Syringe Pump: ควบคุมยาอย่างแม่นยำ ทั้งยาควบคุมความดัน ยาป้องกันหัวใจเต้นผิดจังหวะ และยาสำคัญอื่น ๆ• Temporary Pacemaker: เครื่องกระตุ้นหัวใจชั่วคราว เผื่อหัวใจเต้นช้าหรือผิดปกติในช่วงแรก• ระบบ Lab ข้างเตียง (Point-of-Care Testing): ตรวจค่าเลือด เกลือแร่ และก๊าซในเลือดได้ทันที⸻2. ทีมดูแล ICU หัวใจ • แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านหัวใจและวิสัญญี: ติดตามอาการผู้ป่วยและตัดสินใจเชิงวิกฤต• พยาบาลวิชาชีพเฉพาะทางด้าน ICU หัวใจ: เป็นผู้ดูแลใกล้ชิดที่สุดกับผู้ป่วย ตลอด 24 ชั่วโมง• นักกายภาพบำบัด: เริ่มกระบวนการฟื้นฟูการหายใจและการเคลื่อนไหวตั้งแต่วันแรก• โภชนากรและทีมสหสาขา: วางแผนอาหารและการฟื้นฟูโภชนาการหลังผ่าตัด⸻3. #ทักษะสำคัญของทีมพยาบาล ICU หัวใจพยาบาล ICU ไม่ได้แค่เฝ้าดูอาการ แต่ต้องมีทักษะเชิงลึกในการดูแลผู้ป่วยวิกฤตหัวใจ เช่น• การตีความสัญญาณชีพและคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG): สามารถแยกแยะอาการผิดปกติได้ตั้งแต่วินาทีแรก• การจัดการท่อและสายต่าง ๆ: เช่น ท่อช่วยหายใจ สายน้ำเกลือ สายระบายเลือดและน้ำในทรวงอก (Chest Tube)• การให้ยาผ่านเครื่อง Infusion Pump: ต้องแม่นยำสูงเพราะยาที่ใช้ใน ICU หัวใจมีผลต่อชีวิตแบบเฉียบพลัน• การประเมินอาการเจ็บปวดและภาวะแทรกซ้อน: เช่น ภาวะเลือดออกติดเชื้อ หัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือภาวะไตทำงานลดลง• การสื่อสารกับครอบครัว: ถ่ายทอดข้อมูลที่เข้าใจง่าย เพื่อให้ญาติผู้ป่วยร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการฟื้นฟู⸻4. #ความท้าทายของ ICU ช่วง 24 ชั่วโมงแรกหลังผ่าตัดคือช่วงเวลาที่เปราะบางที่สุด ทีมต้องเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนทุกรูปแบบ ทั้งการเสียเลือด ความดันตก หัวใจเต้นผิดจังหวะ และการติดเชื้อ การทำงานจึงต้องใช้ทั้ง ทักษะ ความเร็ว และความละเอียดรอบคอบ ไปพร้อมกัน

โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด

โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด

โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด จํานวนผู้ป่วยโรคหัวใจในประเทศมีแนวโน้มเพิ่่มสูงขึ้นทุกปี ซึ่งทําให้บั่นทอนคุณภาพชีวิตของคนไทยเป็นอย่างมาก โรคหัวใจ ชนิดหนึ่งที่คนไทยเป็นกันมากขึ้น คือ โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด สาเหตุและอาการของโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด เกิดจากการตีบแคบ หรืออุดตันในหลอดเลือดโคโรนารีที่นําเลือดไปเลี้ยงกล้ามเนื้อหัวใจ ทําให้หัวใจขาดเลือด จึงเกิดอาการต่าง ๆ เช่น จุกแน่น เสียดแสบบริเวณทรวงอก อาจแพร่กระจายไปที่แขน ลําคอ ขากรรไกร กราม หากเป็นมากจะอ่อนเพลีย เหงื่อออก เป็นลม จนถึงเสียชีวิตแบบเฉียบพลัน ถ้าท่านเจ็บหน้าอก และมีอาการร่วมอื่น ดังกล่าวข้างต้น และหรือเจ็บนานเกิน 15-20 นาที ควรรีบไปโรงพยาบาลโดยเร่งด่วน เพื่อรับการรักษาได้ทันท่วงที ปัจจัยเสี่ยงโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด โรคความดันโลหิตสูง โรคไขมันในเลือดสูง การสูบบุหรี่ โรคเบาหวาน ความอ้วน ความเครียด การไม่ออกกําลังกายอย่างสม่ำเสมอ ผู้ชายอายุ 40 ปีขึ้นไป หรือหญิงอายุ 50 ปีขึ้นไป หรือวัยหลังหมดประจําเดือน ผู้มีประวัติคนในครอบครัวเป็นโรคหัวใจ การปฏิบัติตัวเพื่อป้องกันโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด หากมีโรคประจำตัว ควรรับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด และมาตรวจตามนัดทุกครั้ง รับประทานผัก ผลไม้และดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 2-3 ลิตร ควรออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอตามกำลังของตนเอง หากออกกำลังกายแล้วมีอาการเจ็บแน่นหน้าอก เวียนศีรษะ มึนงง คลื่นไส้ เหนื่อยมากจนพูดไม่ออก หายใจสั้นและถี่มาก เมื่อยหรือปวดกล้ามเนื้อ เหงื่อออกมาก ควรหยุดออกกำลังกายและพบแพทย์ทันที จัดการกับความเครียดอย่างเหมาะสม ทำกิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลายความตึงเครียด พักผ่อนอย่างเพียงพอ สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์โรคหัวใจและหลอดเลือด โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี 039-319888

“ความดันโลหิตสูง” กับ "กล้ามเนื้อหัวใจหนา"

“ความดันโลหิตสูง” กับ "กล้ามเนื้อหัวใจหนา"

“ความดันโลหิตสูง” กับ "กล้ามเนื้อหัวใจหนา" หากปล่อยให้เกิดโรคความดันโลหิตสูงนาน ๆ แล้วไม่รักษา เสี่ยงทำให้เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจหนา ซึ่งส่งผลต่อการทำงานของหัวใจ ส่งผลทำให้หัวใจโตและเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวในที่สุด สาเหตุของภาวะกล้ามเนื้อหัวใจหนา กว่า 90% เกิดจากโรคความดันโลหิตสูง ทำให้ความดันในหลอดเลือดแดงสูงขึ้น กล้ามเนื้อหัวใจห้องล่างซ้ายทำงานหนักและหนาตัวขึ้น เลือดดีจากปอดและหัวใจห้องบนซ้ายไม่สามารถไหลลงหัวใจห้องล่างซ้ายได้ ส่งผลทำให้หัวใจโตและเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวในที่สุด อาการภาวะกล้ามเนื้อหัวใจไม่จำเป็นต้องมีอาการผิดปกติแต่ถ้าหากมีอาการ ส่วนใหญ่มักจะเป็นอาการเนื่องจากโรคที่เป็นสาเหตุ หรือผลแทรกซ้อนที่เกิดขึ้น เช่น อาการปวดศีรษะ เวียนศีรษะ มึนงง หรือตามัว เหนื่อยง่ายกว่าปกติ การตรวจภาวะกล้ามเนื้อหัวใจหนา แพทย์ผู้รักษา สามารถให้การวินิจฉัยได้ โดยการซักประวัติ ตรวจร่างกายโดยละเอียด โดยเฉพาะการตรวจร่างกายระบบหัวใจและหลอดเลือด การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ และการตรวจคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูงหัวใจ การรักษาภาวะกล้ามเนื้อหัวใจหนา การรักษาตามสาเหตุของโรค เช่น ถ้าสาเหตุเกิดจากโรคความดันโลหิตสูง จะรักษาโดยให้ควบคุมอาหารเค็ม รวมถึงการใช้ยาลดความดันโลหิต โดยต้องรับประทานยาต่อเนื่อง พร้อมติดตามความดันโลหิตเป็นระยะ เพื่อควบคุมความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์ และลดผลแทรกซ้อนระยะยาว ค่าความดันปกติ ค่าบนต้องไม่เกิน 120 มิลลิเมตรปรอทและค่าล่างต้องไม่เกิน 80 มิลลิเมตรปรอท ถ้าค่าความดันโลหิตค่าบนมากกว่า 140 มิลลิเมตรปรอทหรือค่าล่างมากกว่า 90 มิลลิเมตรปรอท ถือว่าเป็นโรคความดันโลหิตสูง ทั้งนี้หากปล่อยทิ้งไว้หัวใจจะลดลง ทำให้เกิดโรคหัวใจระยะสุดท้ายและเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตได้ในที่สุด ขอบคุณข้อมูลจาก : ฺBDMS สถานีสุขภาพ

EP.3 : ฟื้นฟูหัวใจหลังผ่าตัด

EP.3 : ฟื้นฟูหัวใจหลังผ่าตัด

EP.3 : ฟื้นฟูหัวใจหลังผ่าตัด #กายภาพที่มากกว่าการเดิน“หลังการผ่าตัดหัวใจ สิ่งสำคัญไม่ได้จบแค่ในห้องผ่าตัด หรือ ICU แต่คือการเริ่มต้นใหม่…ของการฟื้นฟู”#เมื่อผู้ป่วยก้าวออกจากห้อง ICU หัวใจ ขั้นตอนต่อไปคือ การกายภาพบำบัดหัวใจ (Cardiac Rehabilitation) เพื่อให้หัวใจและร่างกายค่อย ๆ ฟื้นตัวอย่างปลอดภัย และคืนความมั่นใจในการใช้ชีวิตประจำวันอีกครั้ง ทำไม “กายภาพหัวใจ” จึงเป็นคีย์สำคัญ?- หลังผ่าตัด ผู้ป่วยมักอ่อนแรง ทั้งหัวใจ ปอด และกล้ามเนื้อจากการนอนพักนาน- การไม่ขยับอาจเสี่ยงต่อ ปอดแฟบ, เสมหะอุดตัน, ลิ่มเลือด, กล้ามเนื้อฝ่อลีบ- กายภาพหัวใจจึงไม่ใช่แค่การเคลื่อนไหว แต่คือการ “ปลุกระบบหัวใจ–ปอดและกล้ามเนื้อ” ให้กลับมาทำงานอย่างมั่นคง #ผู้ป่วยได้อะไรจากการกายภาพหัวใจหายใจได้ดีขึ้น ปอดขยายตัว ลดเสมหะ ลดความเสี่ยงการติดเชื้อฟื้นแผลเร็วขึ้น เจ็บน้อยลง จากเทคนิคการพยุงแผลและการเปลี่ยนท่าที่ถูกวิธีแขน–ไหล่ไม่ติด กล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้นเดินได้ไกลขึ้นทีละก้าว เพิ่มความทนทานของร่างกายทำกิจวัตรเองได้ เช่น อาบน้ำ แต่งตัว รับประทานอาหารมั่นใจมากขึ้น ไม่กลัวว่าหัวใจจะรับไม่ไหว #โปรแกรมกายภาพหัวใจ- ฝึกหายใจ ด้วยเครื่อง Incentive Spirometer และการหายใจลึก- ฝึกการไออย่างถูกวิธี โดยใช้หมอนพยุงแผลหน้าอก- เคลื่อนไหวแขน–ไหล่ ตามหลัก Sternal Precaution- ฝึกเปลี่ยนอิริยาบถและสมดุล จากนอน → นั่ง → ยืน → เดิน- เพิ่มความทนทาน เดินระยะสั้นไปสู่ระยะไกลขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป- ฝึกกิจวัตรประจำวัน (ADL Training) เพื่อคืนความสามารถในการใช้ชีวิตเองพยาบาลเฉพาะทางหัวใจ: คู่หูสำคัญของนักกายภาพในทุกขั้นตอนกายภาพ ผู้ป่วยหัวใจจะไม่ถูกปล่อยให้อยู่เพียงลำพัง เพราะมี พยาบาลเฉพาะทางหัวใจประกบอยู่ข้างเตียง เพื่อเฝ้าระวังผ่าน Monitor แบบเรียลไทม์ ได้แก่ คลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG), ความดัน, อัตราการเต้นหัวใจ และค่าออกซิเจนในเลือด (SpO₂)หากพบความผิดปกติ เช่น ความดันตก หัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือผู้ป่วยเหนื่อยเกินไป พยาบาลสามารถหยุดกิจกรรมและให้การช่วยเหลือได้ทันที ทำให้การฟื้นฟูทุกก้าวปลอดภัยและมั่นใจความพร้อมของโรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรีมีแพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู พร้อมด้วยทีมกายภาพรวมกว่า 15 คน พร้อมโปรแกรมฟื้นฟูออกแบบเฉพาะบุคคล ทีมทีมสหวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง (แพทย์–พยาบาล–กายภาพ–โภชนาการ) ที่ทำงานร่วมกันอย่างไร้รอยต่อทุกหัตถการหลังผ่าตัด “ #กายภาพบำบัด” จึงไม่ใช่แค่ตัวเลือก แต่คือ “กุญแจสำคัญ” ที่ช่วยให้ผู้ป่วยหัวใจกลับมาแข็งแรงและมั่นใจอีกครั้งโรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี พร้อมแล้วในการดูแลผู้ป่วยหัวใจแบบครบวงจร ตั้งแต่ห้องผ่าตัด → ICU → กายภาพบำบัด และต่อยอดสู่การฟื้นฟูคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยในระยะยาว

ปัญหาช่องปาก เรื่องใหญ่ของผู้ป่วยโรคหัวใจ

ปัญหาช่องปาก เรื่องใหญ่ของผู้ป่วยโรคหัวใจ

กรมการแพทย์ โดยสถาบันโรคทรวงอก แนะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเสี่ยง ลดปัญหาสุขภาพช่องปาก เตือนผู้ป่วยโรคหัวใจควรใส่ใจสุขภาพช่องปากมากกว่าคนทั่วไป หากละเลยเสี่ยงติดเชื้อในกระแสเลือดอันตรายต่อชีวิต สุขภาพช่องปาก เป็นเรื่องที่ทุกคนต้องให้ความสำคัญโดยเฉพาะผู้ป่วยโรคหัวใจ เนื่องจากปัญหาโรคเหงือกและฟันมีความเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจ หากพบว่าในช่องปากมีโรคเหงือก ฟันผุ หรือหนองจากฟันผุทะลุโพรงประสาทฟัน จะทำให้เกิดอาการปวดฟัน รากฟันอักเสบเป็นหนอง และอาจเกิดการติดเชื้อจากแบคทีเรียแทรกซึมเข้าสู่กระแสเลือดไปตามอวัยวะต่างๆ รวมถึงหัวใจ ทำให้เกิดพยาธิสภาพที่หัวใจได้ ปัจจัยเสี่ยงปัญหาสุขภาพช่องปาก การสูบบุหรี่ ทำให้เกิดปัญหากลิ่นปาก โรคปริทันต์อักเสบ การรับประทานของหวาน ของว่างระหว่างมื้อบ่อยๆ อาจทำให้เกิดฟันผุ ฟันผุทะลุโพรงประสาทฟัน การเคี้ยวของแข็ง ส่งผลทำให้ฟันบิ่น หรือฟันแตก การรับประทานยาหลายชนิด อาจทำให้เกิดภาวะปากแห้ง การแปรงฟันแรง แปรงฟันไม่ถูกวิธี อาจทำให้ฟันสึก หรือฟันผุ ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเหล่านี้ เพื่อลดความเสี่ยงปัญหาสุขภาพช่องปากในอนาคต สำหรับข้อควรระวัง และการเตรียมตัวในการทำฟันของผู้ป่วยโรคหัวใจ ควรปรึกษาแพทย์ประจำตัว ขอใบรับรองแพทย์เพื่อยืนยันว่าสามารถทำฟันได้หรือไม่ รวมถึงข้อควรระวัง ชนิดของโรคหัวใจที่เป็น และยาที่รับประทานอยู่ ต้องแจ้งทันตแพทย์ทุกครั้งเกี่ยวกับชนิดของโรคหัวใจ ยาที่รับประทาน รวมถึงปัญหาที่ผู้ป่วยเคยมีในการทำฟัน เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาซ้ำ ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ประจำตัวและทันตแพทย์อย่างเคร่งครัดในการปรับ หรืองดยาละลายลิ่มเลือด การเจาะเลือดก่อนการทำฟัน การรับประทานยาปฏิชีวนะก่อนทำฟัน และการปฏิบัติตนภายหลังการทำฟัน ผู้ป่วยไม่ควรหยุดยาใดๆมาเอง หากไม่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์หรือทันตแพทย์ วิธีการดูแล และป้องกันการเกิดปัญหาสุขภาพช่องปากที่ควรปฏิบัติ แปรงฟันอย่างถูกวิธีด้วยแปรงสีฟันขนนุ่มและยาสีฟันที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์ วันละ 2 ครั้ง เช้าและก่อนนอน ใช้ไหมขัดฟัน หรือแปรงซอกฟันเพื่อทำความสะอาดบริเวณด้านประชิดของฟัน ที่สำคัญทั้งผู้ป่วยโรคหัวใจและคนที่สุขภาพร่างกายแข็งแรงควรพบทันตแพทย์ตามนัดหมายเป็นประจำทุก 6 เดือน หากปรับพฤติกรรมที่ไม่ดีร่วมกับการดูแลฟันอย่างถูกวิธีตามคำแนะนำของแพทย์ ก็สามารถช่วยลดปัญหาสุขภาพช่องปากในระยะยาวลงได้ ขอบคุณข้อมูลจาก : สถาบันโรคทรวงอก และ BDMS สถานีสุขภาพ

15 วัน หลังผ่าตัดหัวใจแบบเปิด คุณประยูรกลับมาติดตามอาการ

15 วัน หลังผ่าตัดหัวใจแบบเปิด คุณประยูรกลับมาติดตามอาการ

15 วัน #หลังผ่าตัดหัวใจแบบเปิด คุณประยูรกลับมาติดตามอาการ — ศูนย์หัวใจและหลอดเลือด โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี ดูแลต่อเนื่องครบวงจร“การดูแลผู้ป่วยหัวใจไม่ได้จบลงที่ห้องผ่าตัด แต่คือการเดินทางต่อเนื่อง ตั้งแต่วันแรกจนถึงการฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์”คุณ ประยูร ประเสริฐสังข์ ผู้เข้ารับการผ่าตัดทำทางเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจ (CABG) หลังตรวจพบเส้นเลือดหัวใจตีบสามเส้น ได้กลับมาติดตามอาการที่โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรีในวันนี้ ซึ่งเป็นเวลาครบ 15 วันหลังการผ่าตัด การกลับมาในครั้งนี้เป็นการประเมินอย่างรอบด้าน ทั้งการตรวจหัวใจโดยนายแพทย์ นันทชัย ปิยะรุจิรเวช อายุศาสตร์โรคหัวใจ และ แพทย์หญิง จิตรา ปัญญากำพล แพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟูร่วมตรวจประเมินสมรรถภาพร่างกายพร้อมการทำกายภาพเพื่อทดสอบความทนทานในการเคลื่อนไหว ผลการติดตามชี้ชัดว่า หัวใจทำงานได้ดีขึ้น ร่างกายตอบสนองต่อการฟื้นฟูเป็นไปตามเกณฑ์ และแผลผ่าตัดฟื้นตัวได้ดี สะอาด แข็งแรง การสมานของแผลเป็นไปอย่างน่าพอใจการติดตามอาการครั้งนี้ตอกย้ำมาตรฐานการดูแลแบบครบวงจรของศูนย์หัวใจและหลอดเลือด โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี ที่ผสานการทำงานของแพทย์เฉพาะทาง ทีมกายภาพบำบัด และพยาบาลวิชาชีพอย่างใกล้ชิด ทำให้ผู้ป่วยไม่เพียงได้รับการรักษาที่ถูกต้องในห้องผ่าตัด แต่ยังได้รับการดูแลต่อเนื่องทุกขั้นตอนของการฟื้นฟู เพื่อให้สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมั่นใจ และเพื่อสร้างความมั่นใจแก่ประชาชนในภาคตะวันออกว่าพวกเขาสามารถเข้าถึงการรักษาระดับสูงได้ใกล้บ้าน โดยไม่ต้องเดินทางไกลไปยังโรงพยาบาลในกรุงเทพฯ