ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ

ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ หลังฉีดวัคซีนกลุ่ม mRNA

ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ เป็น 1 ในอาการไม่พึงประสงค์หลังจากฉีดวัคซีนเชื้อเป็น (mRNA) ข้อมูลปัจจุบันพบเพียง 1 พันคนเท่านั้น พบมากในในวัยรุ่นทั้งชายและหญิงที่ฉีดเข็มกระตุ้นที่ 2 หากพบอาการดังต่อไปนี้ควรรีบพบแพทย์

ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ (Myocarditis) คือ ภาวะที่ส่งผลต่อสัญญาณไฟฟ้าของหัวใจและอาจทำให้หัวใจเต้นเร็วหรือผิดปกติ (arrhythmia) นอกจากนี้ยังอาจส่งผลต่อความสามารถของหัวใจในการสูบฉีดเลือดและหมุนเวียนออกซิเจน ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้จากการฉีดวัคซีนแต่ผู้เชี่ยวชาญไม่แน่ใจว่ากลไกการเกิดโรคเกิดจากอะไร ปัจจุบันศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค และพันธมิตรกำลังติดตามรายงานเกี่ยวกับโรคกล้ามเนื้อหัวใจและเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบการฉีดวัคซีน COVID-19

  • หลังฉีดวัคซีน mRNA COVID-19 (Pfizer-BioNTech หรือ Moderna) โดยเฉพาะในวัยรุ่นชายและวัยหนุ่มสาว
  • พบได้มากขึ้นในการรับวัคซีนเข็มที่สอง
  • ส่วนมากมีอาการไม่กี่วันหลังจากฉีดวัคซีน

หากมีอาหารเหล่านี้ หลังการฉีดวัคซีน COVID-19ภายในหนึ่งสัปดาห์ควรพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที

ยังควรฉีดวัคซีนให้ตัวเองหรือลูกหรือไม่?

ทางการแพทย์ยืนยันว่า “ยังควรฉีด” ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคยังคงแนะนำให้ทุกคนที่มีอายุ 12 ปีขึ้นไปฉีดวัคซีนป้องกัน COVID-19 เนื่องาจากความเสี่ยงที่เกิดจากการเจ็บป่วยจาก COVID-19 และภาวะแทรกซ้อนที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ปัญหาสุขภาพในระยะยาว การเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล และแม้กระทั่งการเสียชีวิต นั้นมีมากกว่าความเสี่ยงที่อาจเกิดปฏิกิริยาไม่พึงประสงค์จากการฉีดวัคซีน รวมถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด หรือเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ

อย่างไรก็ตามหลังจากได้รับการรักษา ส่วนใหญ่มักมีการตอบสนองต่อยาได้ดี และอาการดีขึ้นอย่างรวดเร็ว ผู้ป่วยสามารถกลับไปทำกิจกรรมประจำวันตามปกติได้หลังจากที่อาการดีขึ้น ผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบควรปรึกษากับแพทย์โรคหัวใจ เกี่ยวกับการกลับไปออกกำลังกายหรือเล่นกีฬา ผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่หายเป็นปกติหลังจากได้รับการรักษาและพักผ่อน ผู้เชี่ยวชาญกำลังติดตามผลข้างเคียงแต่ยังต้องการการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อให้ทราบว่าสาเหตุและผลกระทบในระยะยาวคืออะไร

อาการโรคกล้ามเนื้อหัวใจและเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ

เจ็บหน้าอก หายใจหอบ รู้สึกหัวใจเต้นเร็ว หรือหัวใจเต้นแรง

หากมีอาหารเหล่านี้ หลังการฉีดวัคซีน COVID-19ภายในหนึ่งสัปดาห์ควรพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที

ยังควรฉีดวัคซีนให้ตัวเองหรือลูกหรือไม่?

ทางการแพทย์ยืนยันว่า “ยังควรฉีด” ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคยังคงแนะนำให้ทุกคนที่มีอายุ 12 ปีขึ้นไปฉีดวัคซีนป้องกัน COVID-19 เนื่องาจากความเสี่ยงที่เกิดจากการเจ็บป่วยจาก COVID-19 และภาวะแทรกซ้อนที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ปัญหาสุขภาพในระยะยาว การเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล และแม้กระทั่งการเสียชีวิต นั้นมีมากกว่าความเสี่ยงที่อาจเกิดปฏิกิริยาไม่พึงประสงค์จากการฉีดวัคซีน รวมถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด หรือเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ

สาเหตุภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ

มักเกิดจากการติดเชื้อไวรัสหรือปฏิกิริยาของยา เกิดขึ้นได้กับทุกคน ทั้งผู้ใหญ่ เด็ก และทารก ในความเป็นจริง มีแนวโน้มที่จะภาวะนี้ในผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 30 ปีที่มีสุขภาพแข็งแรง และในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงประมาณ2เท่า

โรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ มีตั้งแต่อาการน้อยถึงรุนแรง ยังส่งผลต่อเด็กแตกต่างกันในกรณีที่ไม่รุนแรง มีอาการดังต่อไปนี้

  • เจ็บหน้าอก
  • หายใจถี่
  • ใจสั่น

ขณะที่ในกรณีที่รุนแรงและควรพบแพทย์โดยด่วน

  • เจ็บหน้าอก
  • จังหวะการเต้นของหัวใจเร็วกว่าปกติหรือเต้นผิดปกติ
  • หายใจถี่ ขณะพัก หรือระหว่างทำกิจกรรม
  • อาการบวมที่ขา ข้อเท้า และเท้า
  • ความเหนื่อยล้า

อาการอื่นๆ อาจเป็นส่วนหนึ่งของการติดเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายได้ เช่น ปวดศีรษะ ปวดตามร่างกาย ปวดข้อ มีไข้ เจ็บคอ หรือท้องร่วง

อาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบในเด็ก ได้แก่

  • ไข้ เป็นลม
  • หายใจลำบาก หายใจเร็ว
  • หัวใจเต้นเร็วหรือผิดปกติ

หากคุณสังเกตเห็นอาการเหล่านี้ ให้แจ้งแพทย์ของคุณ หากเป็นเรื่องฉุกเฉิน โทร 1669 หรือไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด

การวินิจฉัยตั้งแต่ระยะแรก เป็นกุญแจสำคัญสำหรับการรักษาที่เหมาะสม การฟื้นตัวเต็มที่ และการป้องกันปัญหาหัวใจในระยะยาว แพทย์ของคุณอาจทำการตรวจร่างกายและถามเกี่ยวกับประวัติทางการแพทย์ของคุณ แพทย์อาจทำการทดสอบในห้องปฏิบัติการ ภาพถ่ายทางรังสี และการตรวจเกี่ยวกับการทำงานของหัวใจ เพื่อยืนยันว่าอาการรุนแรงเพียงใด

แนวทางการรักษากล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ

ปกติภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบจะดีขึ้นเองและคุณฟื้นตัวได้อย่างสมบูรณ์ ในบางกรณีคุณอาจต้องได้รับการรักษา เช่น ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์หรือยาต้านไวรัส หากคุณเคยเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ต้องใช้แรงกายอย่างหนัก เช่น เล่นกีฬาเป็นเวลาอย่างน้อย 3-6 เดือน ปรึกษากับแพทย์ของคุณก่อนที่จะกลับไปออกกำลังกายตามปกติหรือเล่นกีฬา

ขอบคุณข้อมูลจาก : BDMS สถานีสุขภาพ

บทความที่เกี่ยวข้อง

15 วัน หลังผ่าตัดหัวใจแบบเปิด คุณประยูรกลับมาติดตามอาการ

15 วัน หลังผ่าตัดหัวใจแบบเปิด คุณประยูรกลับมาติดตามอาการ

15 วัน #หลังผ่าตัดหัวใจแบบเปิด คุณประยูรกลับมาติดตามอาการ — ศูนย์หัวใจและหลอดเลือด โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี ดูแลต่อเนื่องครบวงจร“การดูแลผู้ป่วยหัวใจไม่ได้จบลงที่ห้องผ่าตัด แต่คือการเดินทางต่อเนื่อง ตั้งแต่วันแรกจนถึงการฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์”คุณ ประยูร ประเสริฐสังข์ ผู้เข้ารับการผ่าตัดทำทางเบี่ยงหลอดเลือดหัวใจ (CABG) หลังตรวจพบเส้นเลือดหัวใจตีบสามเส้น ได้กลับมาติดตามอาการที่โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรีในวันนี้ ซึ่งเป็นเวลาครบ 15 วันหลังการผ่าตัด การกลับมาในครั้งนี้เป็นการประเมินอย่างรอบด้าน ทั้งการตรวจหัวใจโดยนายแพทย์ นันทชัย ปิยะรุจิรเวช อายุศาสตร์โรคหัวใจ และ แพทย์หญิง จิตรา ปัญญากำพล แพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟูร่วมตรวจประเมินสมรรถภาพร่างกายพร้อมการทำกายภาพเพื่อทดสอบความทนทานในการเคลื่อนไหว ผลการติดตามชี้ชัดว่า หัวใจทำงานได้ดีขึ้น ร่างกายตอบสนองต่อการฟื้นฟูเป็นไปตามเกณฑ์ และแผลผ่าตัดฟื้นตัวได้ดี สะอาด แข็งแรง การสมานของแผลเป็นไปอย่างน่าพอใจการติดตามอาการครั้งนี้ตอกย้ำมาตรฐานการดูแลแบบครบวงจรของศูนย์หัวใจและหลอดเลือด โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี ที่ผสานการทำงานของแพทย์เฉพาะทาง ทีมกายภาพบำบัด และพยาบาลวิชาชีพอย่างใกล้ชิด ทำให้ผู้ป่วยไม่เพียงได้รับการรักษาที่ถูกต้องในห้องผ่าตัด แต่ยังได้รับการดูแลต่อเนื่องทุกขั้นตอนของการฟื้นฟู เพื่อให้สามารถกลับไปใช้ชีวิตประจำวันได้อย่างมั่นใจ และเพื่อสร้างความมั่นใจแก่ประชาชนในภาคตะวันออกว่าพวกเขาสามารถเข้าถึงการรักษาระดับสูงได้ใกล้บ้าน โดยไม่ต้องเดินทางไกลไปยังโรงพยาบาลในกรุงเทพฯ

“ภาวะวูบหมดสติ”

“ภาวะวูบหมดสติ”

“ภาวะวูบหมดสติ” กรมการแพทย์ ระบุว่า ภาวะวูบหมดสติ (Syncope) เป็นอาการสูญเสีย ความรู้สึกตัว และการทรงตัวชั่วคราว โดยทั่วไปเกิดจากเลือดไปเลี้ยงสมองลดลงชั่วขณะ ทำให้สมองขาดออกซิเจนชั่วคราวจะมีลักษณะอาการเฉพาะ คือ หมดสติเฉียบพลัน เกิดขึ้นชั่วขณะในระยะเวลาอันสั้น และสามารถฟื้นคืนสติ ได้เองจะแสดงออกทางอาการหลากหลาย เช่น เรียกไม่รู้สึกตัว ล้มลงกับพื้น ทรงตัวไม่อยู่ อาจมีอาการเกร็งที่มือ เท้า ตาค้างชั่วขณะ เหงื่อออกที่ใบหน้า ผู้ป่วยจะจำเหตุการณ์ตอน หมดสติไม่ได้ โดยจะมีระยะเวลาการหมดสติ ตั้งแต่ 30 วินาที ถึง 5 นาที ขึ้นกับสุขภาพพื้นฐานเดิมของผู้ป่วย ขณะที่ผู้ป่วยบางราย อาจจะมีอาการนำมาก่อนเกิดอาการวูบหมดสติ เช่น รู้สึกหวิว ๆ มึนศีรษะ โคลงเคลง ตาพร่า หรือเห็นแสงแวบวาบ ปลายมือ ปลายเท้าเย็น คลื่นไส้ เป็นต้น อาการวูบไม่รู้ตัวเป็นเรื่องที่ อันตรายมากโดยเฉพาะคนที่ต้องทำงานบนที่สูง หรือผู้ที่ ต้องขับรถ หากมีอาการวูบบ่อย ๆ ควรพบแพทย์ประเมิน หาสาเหตุ สาเหตุของภาวะวูบหมดสติ เกิดจากหัวใจเต้นผิดจังหวะ เส้นเลือดหัวใจตีบ กล้ามเนื้อหัวใจหนาตัวผิดปกติ เกิดจาก ระบบประสาทอัตโนมัติทำงานผิดปกติ ซึ่งมักพบตามหลังสถานการณ์เฉพาะบางอย่าง เช่น หลังไอ จาม เบ่ง ยืนนานๆ ในที่แออัด หรืออากาศร้อน กลัวการเจาะเลือด เป็นต้น เกิดจากการเสียเลือด หรือขาดน้ำ เช่น ท้องเสียรุนแรง หรือมีเลือดออกในอวัยวะภายใน เกิดจากยาบางชนิด โดยเฉพาะยาลดความดันโลหิตสูง ยารักษาต่อมลูกหมาก ยาต้านอาการซึมเศร้า หรือแม้แต่ยาเบาหวาน สิ่งที่เป็นอันตราย เป็นอาการสูญเสียความรู้สึกตัว และการทรงตัวชั่วคราว โดยทั่วไปเกิดจากเลือดไปเลี้ยงสมองลดลง จะส่งผลให้เกิดอันตราย เช่น อุบัติเหตุบนท้องถนนหรือขณะทำงานกับเครื่องจักร เป็นต้น โดยเฉพาะบางอาชีพที่มีความเสี่ยงสูง เช่น พนักงานขับรถ นักบิน นักประดาน้ำ คนงานก่อสร้าง ซึ่งอาจเกิดอุบัติเหตุซ้ำเติมจากการภาวะวูบได้ ในผู้สูงอายุพบมากถึง 23% พบอุบัติการณ์ของภาวะนี้ในคนทั่วไป 3% ผู้ที่เคยมีอาการวูบหมดสติมีโอกาสเกิดซ้ำได้อีกถึง 1 ใน 3 เท่า อาการวูบที่ควรพบแพทย์ วูบแล้วหมดสติ-ชัก มีอาการหน้าเบี้ยวร่วมด้วย หัวใจเต้นผิดปกติ หรือในผู้สูงอายุรวมถึงผู้ที่มีโรคประจำตัว สำหรับสิ่งที่ควรต้องระวัง คือ หลังจากผู้ป่วยตื่นขึ้นมาอาจมีอาการ บาดเจ็บได้ การรักษาควรจะต้องรักษาที่สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการ แต่ถ้าหากวูบหมดสติตื่นขึ้นมาแล้วมีอาการ เช่น ปากเบี้ยว ลิ้นแข็ง พูดไม่ชัด ชา หรืออ่อนแรงร่างกายครึ่งซีก อาจเป็นสัญญาณเตือนความผิดปกติภาวะทางสมองอาการของหลอดเลือดสมองตีบ หรือหลอดเลือดสมองแตกได้ ผู้ป่วยหรือผู้ใกล้ชิดควรต้องสังเกตอาการวูบที่เกิดขึ้น และควรรีบไปพบแพทย์ทันทีอย่าปล่อยทิ้งไว้ ขอบคุณข้อมูลจาก : BDMS สถานีสุขภาพ

7 สัญญาณโรคหัวใจกำเริบ

7 สัญญาณโรคหัวใจกำเริบ

7 สัญญาณโรคหัวใจกำเริบ โรคหัวใจกำเริบเฉียบพลัน (Heart attack) สาเหตุสำคัญที่ทำให้เกิดการเสียชีวิตในผู้ใหญ่ ซึ่งพบได้บ่อยตั้งแต่อายุ 40 ปีขึ้นไป สาเหตุอาจเกิดได้จากกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน ที่มีสาเหตุจากหลอดเลือดหัวใจตีบหรืออุดตันชนิดเฉียบพลัน ส่งผลให้ผู้ป่วยมีอาการเจ็บหน้าอกบริเวณซีกซ้าย อาจจะมีร้าวไปที่แขนซ้ายหรือร้าวไปที่กราม ร่วมกับมีอาการเหงื่อออก มือเท้าเย็น วิงเวียน จะเป็นลม หมดแรง คลื่นไส้อาเจียน หายใจไม่อิ่ม ซึ่งผู้ป่วยที่เสียชีวิตก่อนถึงโรงพยาบาล เป็นผลมาจากหัวใจห้องล่างเต้นผิดจังหวะชนิดร้ายแรง ปัจจัยเสี่ยงที่สำคัญที่ทำให้เกิดโรคหัวใจกำเริบเฉียบพลัน การสูบบุหรี่ โรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง ภาวะอ้วนลงพุง การบริโภคอาหารที่มีไขมันทรานส์ อาการอย่างไรเรียกว่าเจ็บหน้าอกจากโรคหัวใจ เจ็บ แน่น หรือรู้สึกไม่สบายตรงกลางหน้าอก อาการเจ็บหน้าอก ร้าวไปที่คอ แขน หรือขากรรไกร เหงื่อออกจะมีเหงื่อออกอย่างมากจนรู้สึกหนาวบริเวณลำตัวส่วนบน อาจมีอาการวิงเวียน หายใจไม่อิ่ม และคลื่นไส้ร่วมด้วย อาการเหล่านี้อาจเกิดขณะที่ออกกำลังกาย หรือมีอารมณ์เครียดอย่างกะทันหัน อาการเหล่านี้มักจะคงอยู่นานราว 1–10 นาที รู้สึกหายใจไม่ทันขณะที่ออกกำลังกาย อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน รู้สึกแน่นอึดอัดท้องอย่างมาก ถ้าออกกำลังกายทันทีภายหลังรับประทานอาหาร อย่างไรก็ดีอาการหัวใจกำเริบเฉียบพลันอาจเกิดขึ้นในผู้ป่วยที่ไม่มีปัจจัยเสี่ยงดังที่กล่าวมาและเกิดได้ทุกสถานที่ และทุกเวลา เช่น ขณะออกกำลังกาย หรือแม้กระทั่ง นอนหลับพักผ่อน เกิดจากมีภาวะหลอดเลือดแดงแข็งและหนาตัว จากการมีคราบไขมัน (Plaque) และเมื่อเกิดการปริแตกของผนังด้านในหลอดเลือดบริเวณนั้น ทำให้มีลิ่มเลือดมาจับตัวเป็นก้อน จนเกิดการอุดกั้นของหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจ ทำให้กล้ามเนื้อขาดเลือดจนกล้ามเนื้อหัวใจตาย อาจทำให้ผู้ป่วยมีอาการเจ็บแน่นหน้าอก และถ้ามีการเต้นหัวใจผิดจังหวะของหัวใจห้องล่างชนิดร้ายแรง (VT/VF) ส่งผลให้ผู้ป่วยเสียชีวิตฉับพลันได้ในกรณีที่ผู้ป่วยมีอาการแต่ยังรู้สึกตัวดีต้องรีบมาโรงพยาบาลให้เร็วที่สุด กรณีที่ผู้ป่วยหมดสติ ผู้ที่เห็นเหตุการณ์ซึ่งหน้าจะต้องมีความรู้เรื่องการกู้ชีพขั้นพื้นฐาน (CPR) และรู้จักการใช้เครื่องกระตุกหัวใจ (AED) ก่อนนำตัวส่งโรงพยาบาล เพื่อลดอัตราการเสียชีวิต ภายหลังการรักษาผู้ป่วยต้องรับประทานยาที่แพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด และควบคุมปัจจัยเสี่ยงดังกล่าว ด้วยการมาพบแพทย์ตามนัด ควบคุมอาหาร หลีกเลี่ยงอาหารหวาน มัน เค็ม งดการสูบบุหรี่และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอตามคำแนะนำของแพทย์ หากพบว่าอาการผิดปกติ เช่น เจ็บแน่นหน้าอก เวลาออกแรง เหนื่อยง่าย หอบเหนื่อยนอนราบไม่ได้ ขาบวมกดบุ๋มให้รีบมาพบแพทย์ทันที ขอบคุณข้อมูลจาก : BDMS สถานีสุขภาพ

EP.1 : เปิดห้องผ่าตัดหัวใจแบบเปิด

EP.1 : เปิดห้องผ่าตัดหัวใจแบบเปิด

EP.1 : เปิดห้องผ่าตัดหัวใจแบบเปิด — ความต่างที่ไม่เหมือนการผ่าตัดใดๆ “#เบื้องหลังการผ่าตัดที่แพทย์ต้อง ‘#หยุดหัวใจ’ ของผู้ป่วย เพื่อซ่อมแซมและทำให้กลับมาเต้นได้อีกครั้ง”การผ่าตัดหัวใจแบบเปิด (Open Heart Surgery) เป็นหนึ่งในหัตถการที่ซับซ้อนที่สุดในทางการแพทย์ แตกต่างจากการผ่าตัดทั่วไปทั้งในแง่สถานที่ เครื่องมือ ทีมบุคลากร และกระบวนการที่ต้องประสานงานอย่างแม่นยำทุกวินาที⸻1. #ห้องผ่าตัดที่ใหญ่และซับซ้อนกว่าห้องผ่าตัดหัวใจต้องมีพื้นที่กว้างเป็นพิเศษเพื่อรองรับเครื่องมือจำนวนมาก และต้องมีมาตรการความปลอดภัยสูงสุด เช่น• ระบบแรงดันอากาศ (Air Pressure) เพื่อป้องกันการปนเปื้อน• ระบบไฟฟ้าและก๊าซสำรอง เพื่อให้เครื่องมือทำงานต่อเนื่องแม้เกิดเหตุฉุกเฉิน• ระบบบันทึกและการสื่อสาร เพื่อรายงานข้อมูลสำคัญให้ทีมทั้งหมดรับรู้พร้อมกันในระหว่างผ่าตัด⸻2. #เครื่องมือสำคัญที่ทำงานแทนหัวใจและปอด#หัวใจผู้ป่วยจะถูก “#หยุดชั่วคราว” เพื่อเปิดทางให้ศัลยแพทย์ทำงานได้อย่างปลอดภัย โดยมีเครื่องจักรและระบบสำคัญคอยสนับสนุน ได้แก่• Heart-Lung Machine (เครื่องปอด-หัวใจเทียม): สูบฉีดเลือดและเติมออกซิเจนแทนหัวใจและปอด• Monitoring System: ติดตามสัญญาณชีพแบบเรียลไทม์ เช่น คลื่นไฟฟ้าหัวใจ ความดัน ออกซิเจน และอุณหภูมิ• เครื่องจี้ไฟฟ้าและเครื่องควบคุมการเสียเลือด• Cell Saver: เก็บเลือดของผู้ป่วยเพื่อนำกลับมาใช้ ลดการพึ่งพาเลือดสำรอง⸻3. #ทีมผ่าตัดขนาดใหญ่และเฉพาะทางห้องผ่าตัดหัวใจมีทีมหลายสิบชีวิตทำงานร่วมกัน ได้แก่• ศัลยแพทย์หัวใจและทรวงอก ผู้ทำการผ่าตัดหลัก• วิสัญญีแพทย์เฉพาะทางหัวใจ ดูแลยาสลบ สมดุลเกลือแร่และการทำงานของอวัยวะ• Perfusionist ผู้เชี่ยวชาญควบคุมเครื่องปอด-หัวใจเทียม• พยาบาลเฉพาะทางห้องผ่าตัด (Scrub Nurse และ Circulating Nurse)• ทีมสนับสนุน เช่น นักเทคนิคการแพทย์, ช่างเทคนิค และทีม ICU ที่เตรียมพร้อมรับช่วงหลังผ่าตัดทันที⸻4. #ระบบ Lab ในห้องผ่าตัดห้องผ่าตัดหัวใจมีระบบ Lab อยู่ภายในเพื่อเจาะและตรวจเลือดได้ทันที โดยผลที่สำคัญ อาทิ• ค่ากรด-ด่าง (ABG)• ค่าเกลือแร่ (Electrolyte)• การแข็งตัวของเลือด (Coagulation)• ค่า Hematocrit/Hemoglobinหากพบค่าที่ผิดปกติระดับ Critical Value ผลจะถูกส่งถึงทีมผ่าตัดทันทีเพื่อปรับการรักษาแบบเรียลไทม์ เช่น การให้เลือดหรือยา⸻5. #เทคนิคการดูแลหัวใจระหว่างผ่าตัด• ใช้สารละลาย Cardioplegia ทำให้หัวใจหยุดเต้นอย่างปลอดภัย และช่วยลดการใช้ออกซิเจนของกล้ามเนื้อหัวใจ• ควบคุมอุณหภูมิร่างกายผู้ป่วยให้อยู่ในระดับ Mild Hypothermia เพื่อชะลอการเผาผลาญและป้องกันการบาดเจ็บของอวัยวะ• ใช้ Heparin ป้องกันการเกิดลิ่มเลือดในเครื่องปอด-หัวใจเทียม พร้อมตรวจ Coagulation ตลอดการผ่าตัดเพื่อควบคุมสมดุล⸻6. #เวลาและความแม่นยำการผ่าตัดหัวใจแบบเปิดใช้เวลาหลายชั่วโมง แต่ทุกนาทีถูกออกแบบอย่างเป็นระบบ ทีมแพทย์และเครื่องมือทำงานร่วมกันเหมือน “วงออร์เคสตรา” ที่ต้องแม่นยำไร้ข้อผิดพลาด เพื่อให้หัวใจที่หยุดลงชั่วคราว กลับมาเต้นอีกครั้งอย่างแข็งแรง

โรคไขมันในเลือดสูง

โรคไขมันในเลือดสูง

โรคไขมันในเลือดสูง โรคไขมันในเลือดสูง คือโรคที่ผู้ป่วยมีระดับไขมันในเลือดอยู่ในระดับที่สูงกว่าปกติ โดยไขมันนั้นแบ่งออกเป็น 2 ชนิดใหญ่ๆ ดังนี้ คอเลสเตอรอล (Cholesteral) ได้แก่ ไขมันดี (HDL) พบในผู้ที่รับประทานอาหารที่ดีมีประโยชน์และออกกำลังอย่างม่ำเสมอ ไขมันชนิดนี้ยิ่งมีมากยิ่งส่งผลดี เพราะช่วยขจัดไขมันไม่ดีจากร่างกาย ไขมันไม่ดี (LDL) เป็นไขมันที่สะสมตามผนังหลอดเลือด ทำให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจและโรคหลอดเลือดสมองตีบได้ ไตรกลีเซอไรด์ (Triglyceride) มักมีระดับที่สูงขึ้นจากการดื่มสุรา รับประทานอาหารมีน้ำตาลและไขมันมากเกินไปในแต่ละวัน รับประทานยาสเตียรอยด์หรือฮอร์โมนเป็นประจำ หรืออาจสูงขึ้นจากโรคประจำตัว เช่น โรคอ้วน โรคเบาหวาน ซึ่งระดับไตรกลีเซอไรด์ที่สูงขึ้นเพิ่มความเสี่ยงของโรคหลอดเลือดแข็ง โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง โรคอ้วน ไขมันเกาะตับ และมีโอากาสเป็นโรคตับอ่อนอักเสบเฉียบพลัน โดยเฉพาะเมื่อระดับไตรกลีเซอไรด์มากกว่า 500 มก./ดล. การป้องกันตนเองจากโรคไขมันในเลือดสูง รับประทานอาหารแต่พอเหมาะ ตามที่ร่างกายต้องการ เพิ่มการรับประทานอาหารที่มีไฟเบอร์สูงทดแทนแป้งและน้ำตาล ลดอาหารมัน โดยเฉพาะไขมันจากสัตว์ ออกกำลังกายอย่างน้อยครั้งละ 30 นาที 4-5 ครั้งต่อสัปดาห์ งดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกชนิด สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์โรคหัวใจและหลอดเลือด โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี 039-319888

ปัจจัยเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด

ปัจจัยเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด

ศูนย์โรคหัวใจและหลอดเลือด คนไทยป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจ 432,943 คนต่อปี และมีอัตราการเสียชีวิตถึง 20,855 คน เฉลี่ย 2 คนต่อชั่วโมง และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โรคหัวใจ เป็นคำที่มีความหมายกว้าง เนื่องจากโรคหัวใจแบ่งย่อยออกเป็นอีกหลายชนิด ตามตำแหน่งที่เกิดความผิดปกติ ลักษณะการแสดงอาการ และการติดเชื้อ เป็นต้น ซึ่งไม่ว่าจะเป็นโรคหัวใจชนิดใดก็ย่อมส่งผลกระทบต่อการทำงานของหัวใจทั้งสิ้น ในที่นี้จะขอกล่าวถึงโรคหัวใจที่มักจะได้ยินกันบ่อยๆ ดังนี้ โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ-อุดตันตัน จากหลอดเลือดที่เคยมีพื้นผิวที่เรียบ เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายได้อย่างสะดวก แต่เมื่อเรามีระดับไขมันในเลือดสูง ไขมันเหล่านี้จะไปสะสมอยู่ตามผนังหลอดเลือดทำให้หลอดเลือดตีบแคบลง หรือบางกรณีอาจเกิดจากการมีลิ่มเลือดมาอุดตันหลอดเลือด ซึ่งทั้ง 2 กรณี ส่งผลให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก มีโอกาสเกิดกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดขึ้นได้ โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด หลอดเลือดหัวใจที่ตีบหรืออุดตัน ทำให้ส่งเลือดไปเลี้ยงหัวใจได้ไม่เพียงพอ ทำให้เกิดกล้ามเนื้อตายจากการขาดเลือด ซึ่งผู้ป่วยจะมีอาหารเจ็บแน่นหน้าอก ร้าวไปกราม ไปไหล่ และแขน หายใจเหนื่อย วิงเวียน เหงื่อออก ตัวเย็น โดยผู้ป่วยแต่ละรายจะมีอาการแตกต่างกันออกไป อาจจะมีอาการในช่วงที่ออกแรง รู้สึกเครียด หรือหลังจากการรับประทานอาหารมื้อหนัก เมื่อมีอาการควรรีบมาพบแพทย์ทันที เพราะถ้าไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องอย่างทันท่วงที ผู้ป่วยอาจมีอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ โรคหัวใจวาย ภาวะหัวใจวาย เป็นภาวะประสิทธิภาพการทำงานของหัวใจลดลง ทำให้ไม่สามารถส่งเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายได้อย่างเพียงพอ ส่งผลต่ออวัยวะทุกส่วนของร่างกาย นอกจากนี้ภาวะหัวใจวายยังทำให้เกิดน้ำท่วมปอด และไตวายได้อีกด้วย อาการของภาวะหัวใจวาย คือ หายใจลำบาก เหนื่อยหอบ โดยเฉพาะขณะนอนราบ ไอแห้ง นอนหลับยาก มือเท้าบวม โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ หัวใจเต้นผิดจังหวะ เกิดจากความผิดปกติของกระแสไฟฟ้าหัวใจ ส่งผลต่อความสม่ำเสมอและอัตราการเต้นของหัวใจ ปัจจัยเสี่ยงโรคหัวใจ *** โรคหัวใจอาจไม่แสดงอาการใดๆให้ท่านทราบเลยในช่วงแรก การตรวจสุขภาพหัวใจเป็นประจำจึงมีความสำคัญที่สุด การตรวจสุขภาพหัวใจ การซักประวัติและตรวจรางกายโดยแพทย์ เป็นการตรวจคัดกรองเบื้องต้น เพื่อประเมินความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจ การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG & ECG) เป็นเครื่องมือตรวจพิเศษช่วยวิเคราะห์ความผิดปกติของหัวใจเบื้องต้น ที่ไม่เสียเวลาและไม่ต้องเจ็บตัว การวัดสมรรถภาพหัวใจขณะออกกำลังกาย (EST) เพื่อทดสอบความทนของหัวใจขณะออกกำลังกาย ทำให้สามารถประเมินโอกาสเสี่ยงในการเกิดคววามผิดปกติที่อาจจะมีต่อหัวใจขณะออกแรง การตรวจเลือด เพื่อประเมินระดับของเอนไซม์หัวใจ ว่าอยู่ในยเกณฑ์ของผู้ป่วยหัวใจวายหรือไม่ การอัลตราซาวด์หัวใจ (Echocardiogram) เพื่อดูการทำงาน โครงสร้าง และความผิดปกติของหัวใจ การตรวจ MRI เป็นการตรวจดูความผิดปกติของหัวใจ โดย ใช้ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและคลื่นวิทยุ ซึ่งสามารถให้ภาพที่ชัดเจนทั้งแนวขวางและ 3 มิติ การตรวจ MRA เป็นการตรวจหาความผิดปกติของ หลอดเลือด โดยการใช้เครื่อง MRI การวินิจฉัยด้วยการสวนหัวใจ เป็นการตรวจเอ็กซเรย์ร่วมกับการฉีดสารทึบแสงทางหลอดเลือดเพื่อวิเคราะห์ความผิดปกติของหลอดเลือดหัวใจ โดยหากพบความผิดปกติที่สามารถรักษาด้วยการทำบอลลูน ใส่ขดลวดถ่างขยายหลอดเลือด ผู้ป่วยจะสามารถทำได้ในคราวเดียวกัน ไม่ต้องเจ็บตัวซ้ำ ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องดมยาสลบ และไม่ต้องพักฟื้นในโรงพยาบาลนาน การรักษา รับประทานยา รักษาด้วยการสวนหัวใจ ผ่าตัด การป้องกัน รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ อย่างเหมาะสม ลดอาหารที่มีคลอเรสเตอรอลสูง ควบคุมน้ำหนัก ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ไม่ดื่มสุรา และ ไม่สูบบุหรี่ หากมีโรคประจำตัว ต้องดูแลตนเองตามแพทย์แนะนำและรับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด โรคหัวใจเป็นโรคที่รุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ หากสงสัยหรือมีความเสี่ยงควรพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี โทร. 039 319 888