หัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน อันตรายที่ไร้สัญญาณเตือน

หัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน อันตรายที่ไร้สัญญาณเตือน

ในขณะออกกำลังกายอย่างหนัก ร่างกายจะมีการเปลี่ยนแปลงมากมาย เช่น ระดับน้ำตาล โปรตีน และเม็ดเลือดขาวเพิ่มขึ้น อีกทั้งยังทำให้เกล็ดเลือดมาเกาะเป็นกลุ่มกันมากขึ้น ซึ่งเป็นหนึ่งในสาเหตุที่อาจทำให้เกิดกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน หากออกกำลังกายหักโหมเกินไป อย่างนักกีฬาอัลตรามาราธอน วิ่งระยะไกล ทุกวันนี้มีเทคโนโลยีตรวจความฟิตของร่างกายอย่าง VO2 max ที่ช่วยทดสอบสมรรถภาพร่างกายให้แก่นักกีฬาทุกคน ความเสี่ยงของ “ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันในคนออกกำลังกาย อันตรายที่ไร้สัญญาณเตือน แม้ว่าจะมีความเสี่ยงจะเกิดน้อย แต่เราก็ต้องรู้ไว้ เพราะปัญหาสุขภาพไม่เลือกเวลาและไม่เลือกคน ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันหรือ Sudden Cardiac Arrest เป็นภาวะที่หัวใจหยุดเต้นกะทันหัน เกิดได้ทั้งระหว่างออกกำลังกายและหลังออกกำลังกาย โดยมักจะไม่มีสัญญาณบอกก่อน จึงเป็นภาวะที่น่ากลัวมาก ผู้ป่วยอาจพบอาการแน่นหน้าอก หายใจหอบเหนื่อย ไม่มีแรง รู้สึกเหมือนจะวูบ ใจสั่นหรือหัวใจเต้นรัวนำมาก่อน หากพบอาการเหล่านี้ส่งโรงพยาบาลอย่างเร่งด่วน หรืออาจจะต้องปฐมพยาบาลด้วยการ CPR ผายปอดและปั๊มหัวใจ หรือใช้เครื่องกระตุกหัวใจแบบพกพา AED (เออีดี) เมื่อหัวใจหยุดเต้น ระบบหัวใจก็จะเริ่มล้มเหลว ความดันโลหิตก็จะตกลง เลือดก็จะไม่สูบฉีด เซลล์ของอวัยวะต่าง ๆ ก็จะขาดเลือด ขาดออกซิเจน และขาดสารอาหาร ทำให้เซลล์ ไม่สามารถทำงานต่อได้ เมื่อเซลล์หลาย ๆ เซลล์หยุดทำงานก็จะทำให้อวัยวะเหล่านั้นล้มเหลว และหยุดทำงานไปตาม ๆ กัน พูดให้เข้าใจกันง่าย ๆ คือ ถ้าหัวใจหยุดเต้น สมอง ปอด และระบบอื่นก็หยุดทำงานตามไปด้วยจนเสียชีวิตในที่สุด ภาวะหัวใจหยุดเต้นจึงเป็นภาวะอันตรายที่ต้องการรักษาอย่างเร่งด่วน

สาเหตุของ “ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน” ที่พบบ่อยคือคลื่นไฟฟ้าหัวใจเกิดความผิดปกติจนทำให้หัวใจเต้นผิดปกติและหยุดเต้นได้ครับ เพราะเดิมทีในร่างกายมนุษย์สามารถสร้างกระแสไฟฟ้าอ่อน ๆ ได้ตามธรรมชาติเพื่อใช้สื่อสาร หรือสั่งการกันระหว่างเซลล์และระบบอวัยวะต่าง ๆ โดยเฉพาะหัวใจ ส่วนสาเหตุที่ทำให้คลื่นไฟฟ้าหัวใจผิดปกติก็เกิดได้จากหลายปัจจัย โดยปัจจัยอย่างแรกที่ทำให้คลื่นไฟฟ้าหัวใจผิดปกติคือภาวะหัวใจขาดเลือดหรือ Heart Attack ภาวะหัวใจขาดเลือดมักเกิดจากหลอดเลือดหัวใจตีบหรืออุดตัน ทำให้เลือดเข้าไปเลี้ยงหัวใจไม่พอ ซึ่งข้อมูลทางการแพทย์ พบว่าหลังจากที่หัวใจขาดเลือด คลื่นไฟฟ้าหัวใจอาจผิดปกติและทำให้หัวใจเต้นผิดไปจากเดิม อย่างหัวใจเต้นเร็ว หัวใจเต้นรัว หัวใจเต้นผิดจังหวะ และหยุดเต้นได้ แต่นอกจากภาวะหัวใจขาดเลือดแล้วก็ยังมีอีกหลายปัจจัยที่ส่งผลต่อคลื่นไฟฟ้าหัวใจและส่งผลต่อการเต้นของหัวใจจนทำให้เกิด “ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน” ดังนี้
● ความผิดปกติของหัวใจแต่กำเนิด ได้แก่ โรคกล้ามเนื้อหัวใจหนาตัว ความผิดปกติของโครงสร้างหลอดเลือดหัวใจ
● คนที่มีความผิดปกติของการเต้นของหัวใจที่ไม่รู้สาเหตุแน่ชัด
กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ
● หรือ โรคหลอดเลือดหัวใจ

นักกีฬาหรือคนที่ออกกำลังกายส่วนใหญ่อาจไม่รู้ว่าตัวเองมีปัญหาสุขภาพหัวใจเหล่านี้แฝงอยู่ อาจถูกอาการนี้จู่โจมแบบไม่ทันตั้งตัวได้และต่อให้คุณไม่ได้เป็นโรคหัวใจ แต่ถ้าคุณมีความเสี่ยงเล็ก ๆ น้อย ๆ ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลัน ก็อาจเกิดขึ้นได้เช่นกัน ถือเป็นภัยเงียบที่คาดเดาและรับมือได้ยาก การตรวจสุขภาพหัวใจและการประเมินความพร้อมของร่างกายจึงสำคัญมาก โดยเฉพาะคนที่ออกกำลังกายหนัก ๆ นอกจากนี้ หากใครเคยมีอาการต่อไปนี้ยิ่งต้องระวังเป็นพิเศษ เพราะอาจเป็นสัญญาณของปัญหาเกี่ยวกับหัวใจได้
● คนที่เหนื่อยง่ายผิดปกติในขณะที่ทำกิจกรรม ต่าง ๆ รวมถึงการออกกำลังกาย
● มีหรือเคยมีอาการเจ็บแน่นหน้าอกขณะออกกำลังกาย
● เคยเป็นลมขณะออกกำลังกาย
● คนที่เคยมีญาติใกล้ชิด อย่างพ่อแม่หรือพี่น้องเสียชีวิตฉับพลันโดยไม่ทราบสาเหตุ หรือมีโรคเส้นเลือดหัวใจตีบขณะที่อายุ
น้อยกว่า 60 ปีในผู้หญิง และ 45 ปีในผู้ชาย
● คนที่ออกกำลังกาย แต่สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ ใช้สารเสพติด หรือพักผ่อนน้อยติดต่อกันนานก็อาจมี
ความเสี่ยงเพิ่มขึ้นได้เหมือนกัน

ภาวะหัวใจหยุดเต้นเฉียบพลันสามารถลดความเสี่ยงได้ครับด้วยการตรวจสุขภาพเป็นประจำ โดยเฉพาะสุขภาพหัวใจ

ขอบคุณข้อมูลจาก : BDMS สถานีสุขภาพ

บทความที่เกี่ยวข้อง

หัวใจล้มเหลว เกิดได้ทุกเพศทุกวัย

หัวใจล้มเหลว เกิดได้ทุกเพศทุกวัย

หัวใจล้มเหลว(HEART FAILURE) หรือหัวใจวายสามารถเกิดขึ้นได้แบบไม่คาดคิดทั้งกับตัวเองและคนใกล้ตัว และสามารถเกิดได้กับคนทุกเพศทุกวัย ทั้งแต่อยู่ในครรภ์จนกระทั่งวัยชรา เช็กอาการสุ่มเสี่ยงป้องกันได้ตั้งแต่อยู่ในท้อง! ภาวะหัวใจล้มเหลว (HEART FAILURE) คือ ภาวะที่หัวใจทำงานผิดปกติส่งผลให้หัวใจไม่สามารถสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงร่างกายและรับเลือดกลับเข้าหัวใจได้ตามปกติ ทำให้เกิดอาการเหนื่อยง่าย อ่อนเพลีย และอาจบวมจากการคั่งของน้ำในร่างกาย ซึ่งอาจมีอันตรายรุนแรงถึงชีวิตได้ ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสุขภาพของแต่ละคน เด็กกับภาวะหัวใจล้มเหลว ในเด็กนั้นสามารถพบภาวะหัวใจล้มเหลวได้ตั้งแต่ยังเป็นทารกในครรภ์ โดยมาจากหัวใจและระบบไหลเวียนเลือดทำงานได้ไม่ดี อาจร้ายแรงถึงขั้นพิการหรือเสียชีวิตได้ หากไม่รีบตรวจวินิจฉัยและทำการรักษาอย่างถูกวิธีเด็กที่หัวใจล้มเหลวมักโตช้า ขาดสารอาหาร เหงื่อออกมาก ผิวหนังเย็น หัวใจเต้นเร็ว หายใจเร็ว หัวใจโต ตับโต มักมาจากปัญหากล้ามเนื้อหัวใจและโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด จึงควรตรวจวินิจฉัยกับแพทย์เฉพาะทางโรคหัวใจโดยเร็วที่สุด ซึ่งแพทย์มักตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ เอกซเรย์ปอด คลื่นเสียงหัวใจ และพิจารณาตามอาการและความรุนแรงของโรค วัยรุ่นกับภาวะหัวใจล้มเหลว สาเหตุมาจากโรคหัวใจพิการแต่กำเนิด โรคกล้ามเนื้อหัวใจหนาผิดปกติ กล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ลิ้นหัวใจติดเชื้อโรค หรือความผิดปกติของหัวใจที่อาจไม่เคยรู้ตัวมาก่อน หากรู้ว่าตนเองเป็นโรคหัวใจมาก่อนอาจมีการดูแลสุขภาพหัวใจ แต่เนื่องจากวัยรุ่นไม่ได้ตรวจเช็กสุขภาพหัวใจจึงต้องหมั่นสังเกตตนเองและรีบพบแพทย์เฉพาะทางด้านหัวใจโดยเร็ว อาการที่พบส่วนใหญ่คือ เหนื่อยง่าย ขึ้นบันไดแล้วเหนื่อยผิดปกติ เจ็บแน่นหน้าอกด้านซ้าย หายใจลำบาก ริมฝีปากมีสีเขียว ใจสั่น หน้ามืดเป็นลม หมดสติ ควรต้องรีบไปโรงพยาบาลทันที เพราะหากร้ายแรงอาจเสียชีวิตแบบฉับพลันได้ ผู้ใหญ่กับภาวะหัวใจล้มเหลว ในผู้ใหญ่นอกจากความเสี่ยงภาวะหัวใจล้มเหลวแบบเฉียบพลันที่อาจถึงแก่ชีวิต ยังมีความเสี่ยงภาวะหัวใจล้มเหลวที่เกิดจากโรคต่าง ๆ อาทิ ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง อ้วน เส้นเลือดหัวใจตีบ กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ลิ้นหัวใจตีบ หรือลิ้นหัวใจรั่ว การเต้นหัวใจผิดปกติ ซึ่งการตรวจเช็กสุขภาพหัวใจมีความสำคัญ เพราะช่วยให้รู้ความผิดปกติและดูแลตัวเองได้อย่างถูกวิธี อาการหัวใจล้มเหลวที่พบคือ เหนื่อยง่าย นอนราบแล้วหายใจไม่ออก ตื่นกลางดึกเพราะหายใจไม่ออก เท้าหรือขาบวม ท้องอืดไม่ย่อย ตลอดจนน้ำขังตามบริเวณต่าง ๆ ของร่างกาย อ่อนเพลียไม่มีแรง ใจสั่น หน้ามืดเป็นลม หมดสติ นอกจากนี้หากเคยกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดอาจเสี่ยงต่อภาวะหัวใจล้มเหลวได้มากกว่าคนทั่วไป ผู้สูงวัยกับภาวะหัวใจล้มเหลว ผู้สูงวัยมีโอกาสเกิดภาวะหัวใจล้มเหลวมากกว่าคนในวัยอื่น ๆ ยิ่งในผู้สูงวัยที่ป่วยด้วยโรคหัวใจ ยิ่งมีความเสี่ยงมาก รวมถึงผู้สูงวัยที่มีปัจจัยเสี่ยงภาวะหัวใจล้มเหลว ได้แก่ ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง เบาหวาน สูบบุหรี่ กล้ามเนื้อหัวใจผิดปกติ ลิ้นหัวใจผิดปกติ หัวใจเต้นผิดจังหวะ หลอดเลือดหัวใจอุดตัน กล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ เป็นต้น อาการที่พบคือ อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย แน่นหน้าอก นอนราบไม่ได้ หายใจลำบาก บวมที่ขาหรือเท้า กดแล้วมีรอยบุ๋ม ท้องอืด อาหารไม่ย่อย ใจสั่น หัวใจเต้นเร็ว รวมถึงอาจมีอาการทางประสาทอย่างมึนงง สับสน เป็นลม หมดสติ จากการที่หัวใจสูบฉีดเลือดไปเลี้ยงไม่พอ ดังนั้นหากมีอาการผิดปกติแม้เพียงนิดเดียวควรต้องรีบมาพบแพทย์เฉพาะทางด้านหัวใจทันที นอกจากนี้สิ่งสำคัญที่สุดคือการตรวจเช็กสุขภาพหัวใจอย่างละเอียดเป็นประจำทุกปี รักษาภาวะหัวใจล้มเหลว การรักษาภาวะหัวใจล้มเหลวขึ้นอยู่กับอาการและความรุนแรงของโรคเป็นสำคัญ อันดับแรกคือต้องพบแพทย์เฉพาะทางด้านหัวใจโดยเร็วที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งอาการเจ็บแน่นหน้าอก หายใจไม่ออก เหนื่อยง่าย หากมีอาการหายใจไม่ออกแพทย์อาจจะใส่เครื่องช่วยหายใจ หากมีน้ำในปอดแพทย์จะทำการให้ยาขับปัสสาวะ รวมถึงการให้ยาต่าง ๆ เพื่อลดความรุนแรงของโรค ทั้งนี้อาจต้องทำการฉีดสีสวนหัวใจบอลลูนถ่างขยายเส้นเลือดเลี้ยงหัวใจโดยเร่งด่วน มีการใช้เครื่องกระตุกหัวใจอัตโนมัติที่ช่วยเรื่องการบีบตัวของหัวใจ การผ่าตัดปลูกถ่ายหัวใจ การผ่าตัดลิ้นหัวใจรั่ว ซึ่งเป็นไปตามการประเมินการรักษาโดยแพทย์เฉพาะทางโรคหัวใจ ที่สำคัญผู้ป่วยต้องมาพบแพทย์ตามนัดหมายทุกครั้ง ดูแลไม่ให้หัวใจล้มเหลว-รักษาทัน สังเกตความผิดปกติอยู่เสมอ ศึกษาหาความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับภาวะหัวใจล้มเหลว ตรวจเช็กสุขภาพหัวใจของตัวเองและคนใกล้ชิดตามคำแนะนำของแพทย์ หากมีโรคประจำตัวต้องรับประทานยาตามที่แพทย์สั่ง พกยาติดตัวเสมอ ดูแลอย่างใกล้ชิด เลือกกินอาหารที่ดี ออกกำลังกายเป็นประจำ พักผ่อนให้เพียงพอ งดสูบบุหรี่และดื่มแอลกอฮอล์ ดูแลสุขภาพใจให้ห่างไกลซึมเศร้า ผู้ป่วยโรคหัวใจไม่ควรเดินทางไกลคนเดียวควรมีคนสนิทติดตามไปด้วยทุกครั้ง โรคหัวใจมักไม่แสดงอาการที่ชัดเจน แต่มีโอกาสเสียชีวิตกะทันหันเพราะโรคหัวใจเกิดขึ้นได้ทุกเวลาดังนั้นการตรวจสุขภาพหัวใจเชิงลึกเป็นประจำทุกปีจึงสำคัญมากไม่ใช่แค่สุขภาพหัวใจของตัวเองแต่สุขภาพหัวใจของคนในครอบครัวและคนใกล้ชิดก็เป็นเรื่องที่ไม่ควรละเลยโดยเฉพาะในผู้ที่มีความเสี่ยงโรคหัวใจและผู้สูงวัยควรต้องอยู่ภายใต้การดูแลของแพทย์เฉพาะทางด้านหัวใจเพราะหากรู้ทันโรคก่อนย่อมช่วยให้รับมือได้เร็วประเมินความรุนแรงที่จะเกิดขึ้นในอนาคตดูแลรักษาหัวใจได้ถูกวิธีมีสุขภาพหัวใจที่แข็งแรงไปอีกนาน ขอบคุณข้อมูลจาก : BDMS สถานีสุขภาพ

EP.3 : ฟื้นฟูหัวใจหลังผ่าตัด

EP.3 : ฟื้นฟูหัวใจหลังผ่าตัด

EP.3 : ฟื้นฟูหัวใจหลังผ่าตัด #กายภาพที่มากกว่าการเดิน“หลังการผ่าตัดหัวใจ สิ่งสำคัญไม่ได้จบแค่ในห้องผ่าตัด หรือ ICU แต่คือการเริ่มต้นใหม่…ของการฟื้นฟู”#เมื่อผู้ป่วยก้าวออกจากห้อง ICU หัวใจ ขั้นตอนต่อไปคือ การกายภาพบำบัดหัวใจ (Cardiac Rehabilitation) เพื่อให้หัวใจและร่างกายค่อย ๆ ฟื้นตัวอย่างปลอดภัย และคืนความมั่นใจในการใช้ชีวิตประจำวันอีกครั้ง ทำไม “กายภาพหัวใจ” จึงเป็นคีย์สำคัญ?- หลังผ่าตัด ผู้ป่วยมักอ่อนแรง ทั้งหัวใจ ปอด และกล้ามเนื้อจากการนอนพักนาน- การไม่ขยับอาจเสี่ยงต่อ ปอดแฟบ, เสมหะอุดตัน, ลิ่มเลือด, กล้ามเนื้อฝ่อลีบ- กายภาพหัวใจจึงไม่ใช่แค่การเคลื่อนไหว แต่คือการ “ปลุกระบบหัวใจ–ปอดและกล้ามเนื้อ” ให้กลับมาทำงานอย่างมั่นคง #ผู้ป่วยได้อะไรจากการกายภาพหัวใจหายใจได้ดีขึ้น ปอดขยายตัว ลดเสมหะ ลดความเสี่ยงการติดเชื้อฟื้นแผลเร็วขึ้น เจ็บน้อยลง จากเทคนิคการพยุงแผลและการเปลี่ยนท่าที่ถูกวิธีแขน–ไหล่ไม่ติด กล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้นเดินได้ไกลขึ้นทีละก้าว เพิ่มความทนทานของร่างกายทำกิจวัตรเองได้ เช่น อาบน้ำ แต่งตัว รับประทานอาหารมั่นใจมากขึ้น ไม่กลัวว่าหัวใจจะรับไม่ไหว #โปรแกรมกายภาพหัวใจ- ฝึกหายใจ ด้วยเครื่อง Incentive Spirometer และการหายใจลึก- ฝึกการไออย่างถูกวิธี โดยใช้หมอนพยุงแผลหน้าอก- เคลื่อนไหวแขน–ไหล่ ตามหลัก Sternal Precaution- ฝึกเปลี่ยนอิริยาบถและสมดุล จากนอน → นั่ง → ยืน → เดิน- เพิ่มความทนทาน เดินระยะสั้นไปสู่ระยะไกลขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป- ฝึกกิจวัตรประจำวัน (ADL Training) เพื่อคืนความสามารถในการใช้ชีวิตเองพยาบาลเฉพาะทางหัวใจ: คู่หูสำคัญของนักกายภาพในทุกขั้นตอนกายภาพ ผู้ป่วยหัวใจจะไม่ถูกปล่อยให้อยู่เพียงลำพัง เพราะมี พยาบาลเฉพาะทางหัวใจประกบอยู่ข้างเตียง เพื่อเฝ้าระวังผ่าน Monitor แบบเรียลไทม์ ได้แก่ คลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG), ความดัน, อัตราการเต้นหัวใจ และค่าออกซิเจนในเลือด (SpO₂)หากพบความผิดปกติ เช่น ความดันตก หัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือผู้ป่วยเหนื่อยเกินไป พยาบาลสามารถหยุดกิจกรรมและให้การช่วยเหลือได้ทันที ทำให้การฟื้นฟูทุกก้าวปลอดภัยและมั่นใจความพร้อมของโรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรีมีแพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู พร้อมด้วยทีมกายภาพรวมกว่า 15 คน พร้อมโปรแกรมฟื้นฟูออกแบบเฉพาะบุคคล ทีมทีมสหวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง (แพทย์–พยาบาล–กายภาพ–โภชนาการ) ที่ทำงานร่วมกันอย่างไร้รอยต่อทุกหัตถการหลังผ่าตัด “ #กายภาพบำบัด” จึงไม่ใช่แค่ตัวเลือก แต่คือ “กุญแจสำคัญ” ที่ช่วยให้ผู้ป่วยหัวใจกลับมาแข็งแรงและมั่นใจอีกครั้งโรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี พร้อมแล้วในการดูแลผู้ป่วยหัวใจแบบครบวงจร ตั้งแต่ห้องผ่าตัด → ICU → กายภาพบำบัด และต่อยอดสู่การฟื้นฟูคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยในระยะยาว

การตรวจอัลตร้าซาวด์หัวใจ (Echocardiogram)

การตรวจอัลตร้าซาวด์หัวใจ (Echocardiogram)

การตรวจอัลตร้าซาวด์หัวใจ (Echocardiogram) การตรวจ ECHO หัวใจ (Echocardiogram หรือ Echocardiography) เป็นการตรวจการทำงานของหัวใจ เช่น ขนาดของห้องภายในหัวใจ การไหลเวียนของเลือดภายในหัวใจ การบีบตัวของกล้ามเนื้อหัวใจ การทำงานของลิ้นหัวใจ ภาวะน้ำในเยื่อหุ้มหัวใจ ช่องหัวใจโต และตรวจหาภาวะหัวใจพิการแต่กำเนิด ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของอาการเหนื่อยง่าย หรือแน่นหน้าอก และดูตำแหน่งของหลอดเลือดต่างๆ ที่คอยสูบฉีดเลือดจากหัวใจไปเลี้ยงเซลล์และอวัยวะต่างๆ ด้วยคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูง คำแนะนำสำหรับผู้รับการตรวจ 1. ควรมาถึงก้อนเวลานัด 15 นาที พร้อมยื่นใบนัดที่แผนกเวชระเบียน 2. ใช้เวลาในการตรวจพิเศษ ประมาณ 1 ชั่วโมง ขั้นตอนต่างๆจะแจ้งให้ทราบก่อนเริ่มการทดสอบ 3. ควรพักผ่อนให้เพียงพอช่วงก่อนวันนัด หากผู้ป่วยมีไข้ อ่อนเพลีย หรืออาการกำเริบ โปรดสอบถามแพทย์หรือแจ้งเจ้าหน้าที่ 4. ไม่ต้องงดน้ำไม่ต้องงดอาหารและไม่ต้องงดยา สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์โรคหัวใจและหลอดเลือด โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี 039-319888

“ภาวะวูบหมดสติ”

“ภาวะวูบหมดสติ”

“ภาวะวูบหมดสติ” กรมการแพทย์ ระบุว่า ภาวะวูบหมดสติ (Syncope) เป็นอาการสูญเสีย ความรู้สึกตัว และการทรงตัวชั่วคราว โดยทั่วไปเกิดจากเลือดไปเลี้ยงสมองลดลงชั่วขณะ ทำให้สมองขาดออกซิเจนชั่วคราวจะมีลักษณะอาการเฉพาะ คือ หมดสติเฉียบพลัน เกิดขึ้นชั่วขณะในระยะเวลาอันสั้น และสามารถฟื้นคืนสติ ได้เองจะแสดงออกทางอาการหลากหลาย เช่น เรียกไม่รู้สึกตัว ล้มลงกับพื้น ทรงตัวไม่อยู่ อาจมีอาการเกร็งที่มือ เท้า ตาค้างชั่วขณะ เหงื่อออกที่ใบหน้า ผู้ป่วยจะจำเหตุการณ์ตอน หมดสติไม่ได้ โดยจะมีระยะเวลาการหมดสติ ตั้งแต่ 30 วินาที ถึง 5 นาที ขึ้นกับสุขภาพพื้นฐานเดิมของผู้ป่วย ขณะที่ผู้ป่วยบางราย อาจจะมีอาการนำมาก่อนเกิดอาการวูบหมดสติ เช่น รู้สึกหวิว ๆ มึนศีรษะ โคลงเคลง ตาพร่า หรือเห็นแสงแวบวาบ ปลายมือ ปลายเท้าเย็น คลื่นไส้ เป็นต้น อาการวูบไม่รู้ตัวเป็นเรื่องที่ อันตรายมากโดยเฉพาะคนที่ต้องทำงานบนที่สูง หรือผู้ที่ ต้องขับรถ หากมีอาการวูบบ่อย ๆ ควรพบแพทย์ประเมิน หาสาเหตุ สาเหตุของภาวะวูบหมดสติ เกิดจากหัวใจเต้นผิดจังหวะ เส้นเลือดหัวใจตีบ กล้ามเนื้อหัวใจหนาตัวผิดปกติ เกิดจาก ระบบประสาทอัตโนมัติทำงานผิดปกติ ซึ่งมักพบตามหลังสถานการณ์เฉพาะบางอย่าง เช่น หลังไอ จาม เบ่ง ยืนนานๆ ในที่แออัด หรืออากาศร้อน กลัวการเจาะเลือด เป็นต้น เกิดจากการเสียเลือด หรือขาดน้ำ เช่น ท้องเสียรุนแรง หรือมีเลือดออกในอวัยวะภายใน เกิดจากยาบางชนิด โดยเฉพาะยาลดความดันโลหิตสูง ยารักษาต่อมลูกหมาก ยาต้านอาการซึมเศร้า หรือแม้แต่ยาเบาหวาน สิ่งที่เป็นอันตราย เป็นอาการสูญเสียความรู้สึกตัว และการทรงตัวชั่วคราว โดยทั่วไปเกิดจากเลือดไปเลี้ยงสมองลดลง จะส่งผลให้เกิดอันตราย เช่น อุบัติเหตุบนท้องถนนหรือขณะทำงานกับเครื่องจักร เป็นต้น โดยเฉพาะบางอาชีพที่มีความเสี่ยงสูง เช่น พนักงานขับรถ นักบิน นักประดาน้ำ คนงานก่อสร้าง ซึ่งอาจเกิดอุบัติเหตุซ้ำเติมจากการภาวะวูบได้ ในผู้สูงอายุพบมากถึง 23% พบอุบัติการณ์ของภาวะนี้ในคนทั่วไป 3% ผู้ที่เคยมีอาการวูบหมดสติมีโอกาสเกิดซ้ำได้อีกถึง 1 ใน 3 เท่า อาการวูบที่ควรพบแพทย์ วูบแล้วหมดสติ-ชัก มีอาการหน้าเบี้ยวร่วมด้วย หัวใจเต้นผิดปกติ หรือในผู้สูงอายุรวมถึงผู้ที่มีโรคประจำตัว สำหรับสิ่งที่ควรต้องระวัง คือ หลังจากผู้ป่วยตื่นขึ้นมาอาจมีอาการ บาดเจ็บได้ การรักษาควรจะต้องรักษาที่สาเหตุที่ทำให้เกิดอาการ แต่ถ้าหากวูบหมดสติตื่นขึ้นมาแล้วมีอาการ เช่น ปากเบี้ยว ลิ้นแข็ง พูดไม่ชัด ชา หรืออ่อนแรงร่างกายครึ่งซีก อาจเป็นสัญญาณเตือนความผิดปกติภาวะทางสมองอาการของหลอดเลือดสมองตีบ หรือหลอดเลือดสมองแตกได้ ผู้ป่วยหรือผู้ใกล้ชิดควรต้องสังเกตอาการวูบที่เกิดขึ้น และควรรีบไปพบแพทย์ทันทีอย่าปล่อยทิ้งไว้ ขอบคุณข้อมูลจาก : BDMS สถานีสุขภาพ

EP.2 ทีมหอผู้ป่วยวิกฤต ICU ดูแลผู้ป่วยผ่าตัดหัวใจ

EP.2 ทีมหอผู้ป่วยวิกฤต ICU ดูแลผู้ป่วยผ่าตัดหัวใจ

EP.2 : #ทีมหอผู้ป่วยวิกฤต ICU ดูแลผู้ป่วยผ่าตัดหัวใจ “เมื่อการผ่าตัดสิ้นสุดลง… การดูแลที่เข้มข้นที่สุดเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น”ดูแลผู้ป่วยผ่าตัดหัวใจ — #จุดเริ่มต้นของการฟื้นตัวหลังการผ่าตัดหลังจากหัวใจผู้ป่วยถูกซ่อมแซมและกลับมาเต้นอีกครั้ง ขั้นตอนต่อมาคือการย้ายเข้าสู่ ICU หัวใจ (Cardiac Intensive Care Unit) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการฟื้นตัวใน 24–72 ชั่วโมงแรก⸻1. #ห้องและอุปกรณ์เฉพาะทาง ICU ที่มากกว่าห้อง ICUICU สำหรับดูแลผู้ป่วยหัวใจแตกต่างจาก ICU ทั่วไป เพราะต้องออกแบบให้รองรับผู้ป่วยผ่าตัดหัวใจโดยตรง• Bedside Monitoring: เครื่องเฝ้าติดตามสัญญาณชีพตลอด 24 ชั่วโมง (คลื่นไฟฟ้าหัวใจ ความดันเลือด ออกซิเจนในเลือด อุณหภูมิ)• Invasive Line: ท่อวัดความดันในหลอดเลือดใหญ่และหัวใจ เพื่อให้ได้ค่าที่ละเอียดมากขึ้น• Ventilator (เครื่องช่วยหายใจ): รองรับกรณีผู้ป่วยยังไม่สามารถหายใจเองได้เต็มที่หลังผ่าตัด• Infusion Pump & Syringe Pump: ควบคุมยาอย่างแม่นยำ ทั้งยาควบคุมความดัน ยาป้องกันหัวใจเต้นผิดจังหวะ และยาสำคัญอื่น ๆ• Temporary Pacemaker: เครื่องกระตุ้นหัวใจชั่วคราว เผื่อหัวใจเต้นช้าหรือผิดปกติในช่วงแรก• ระบบ Lab ข้างเตียง (Point-of-Care Testing): ตรวจค่าเลือด เกลือแร่ และก๊าซในเลือดได้ทันที⸻2. ทีมดูแล ICU หัวใจ • แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านหัวใจและวิสัญญี: ติดตามอาการผู้ป่วยและตัดสินใจเชิงวิกฤต• พยาบาลวิชาชีพเฉพาะทางด้าน ICU หัวใจ: เป็นผู้ดูแลใกล้ชิดที่สุดกับผู้ป่วย ตลอด 24 ชั่วโมง• นักกายภาพบำบัด: เริ่มกระบวนการฟื้นฟูการหายใจและการเคลื่อนไหวตั้งแต่วันแรก• โภชนากรและทีมสหสาขา: วางแผนอาหารและการฟื้นฟูโภชนาการหลังผ่าตัด⸻3. #ทักษะสำคัญของทีมพยาบาล ICU หัวใจพยาบาล ICU ไม่ได้แค่เฝ้าดูอาการ แต่ต้องมีทักษะเชิงลึกในการดูแลผู้ป่วยวิกฤตหัวใจ เช่น• การตีความสัญญาณชีพและคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG): สามารถแยกแยะอาการผิดปกติได้ตั้งแต่วินาทีแรก• การจัดการท่อและสายต่าง ๆ: เช่น ท่อช่วยหายใจ สายน้ำเกลือ สายระบายเลือดและน้ำในทรวงอก (Chest Tube)• การให้ยาผ่านเครื่อง Infusion Pump: ต้องแม่นยำสูงเพราะยาที่ใช้ใน ICU หัวใจมีผลต่อชีวิตแบบเฉียบพลัน• การประเมินอาการเจ็บปวดและภาวะแทรกซ้อน: เช่น ภาวะเลือดออกติดเชื้อ หัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือภาวะไตทำงานลดลง• การสื่อสารกับครอบครัว: ถ่ายทอดข้อมูลที่เข้าใจง่าย เพื่อให้ญาติผู้ป่วยร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการฟื้นฟู⸻4. #ความท้าทายของ ICU ช่วง 24 ชั่วโมงแรกหลังผ่าตัดคือช่วงเวลาที่เปราะบางที่สุด ทีมต้องเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนทุกรูปแบบ ทั้งการเสียเลือด ความดันตก หัวใจเต้นผิดจังหวะ และการติดเชื้อ การทำงานจึงต้องใช้ทั้ง ทักษะ ความเร็ว และความละเอียดรอบคอบ ไปพร้อมกัน

EP.1 : เปิดห้องผ่าตัดหัวใจแบบเปิด

EP.1 : เปิดห้องผ่าตัดหัวใจแบบเปิด

EP.1 : เปิดห้องผ่าตัดหัวใจแบบเปิด — ความต่างที่ไม่เหมือนการผ่าตัดใดๆ “#เบื้องหลังการผ่าตัดที่แพทย์ต้อง ‘#หยุดหัวใจ’ ของผู้ป่วย เพื่อซ่อมแซมและทำให้กลับมาเต้นได้อีกครั้ง”การผ่าตัดหัวใจแบบเปิด (Open Heart Surgery) เป็นหนึ่งในหัตถการที่ซับซ้อนที่สุดในทางการแพทย์ แตกต่างจากการผ่าตัดทั่วไปทั้งในแง่สถานที่ เครื่องมือ ทีมบุคลากร และกระบวนการที่ต้องประสานงานอย่างแม่นยำทุกวินาที⸻1. #ห้องผ่าตัดที่ใหญ่และซับซ้อนกว่าห้องผ่าตัดหัวใจต้องมีพื้นที่กว้างเป็นพิเศษเพื่อรองรับเครื่องมือจำนวนมาก และต้องมีมาตรการความปลอดภัยสูงสุด เช่น• ระบบแรงดันอากาศ (Air Pressure) เพื่อป้องกันการปนเปื้อน• ระบบไฟฟ้าและก๊าซสำรอง เพื่อให้เครื่องมือทำงานต่อเนื่องแม้เกิดเหตุฉุกเฉิน• ระบบบันทึกและการสื่อสาร เพื่อรายงานข้อมูลสำคัญให้ทีมทั้งหมดรับรู้พร้อมกันในระหว่างผ่าตัด⸻2. #เครื่องมือสำคัญที่ทำงานแทนหัวใจและปอด#หัวใจผู้ป่วยจะถูก “#หยุดชั่วคราว” เพื่อเปิดทางให้ศัลยแพทย์ทำงานได้อย่างปลอดภัย โดยมีเครื่องจักรและระบบสำคัญคอยสนับสนุน ได้แก่• Heart-Lung Machine (เครื่องปอด-หัวใจเทียม): สูบฉีดเลือดและเติมออกซิเจนแทนหัวใจและปอด• Monitoring System: ติดตามสัญญาณชีพแบบเรียลไทม์ เช่น คลื่นไฟฟ้าหัวใจ ความดัน ออกซิเจน และอุณหภูมิ• เครื่องจี้ไฟฟ้าและเครื่องควบคุมการเสียเลือด• Cell Saver: เก็บเลือดของผู้ป่วยเพื่อนำกลับมาใช้ ลดการพึ่งพาเลือดสำรอง⸻3. #ทีมผ่าตัดขนาดใหญ่และเฉพาะทางห้องผ่าตัดหัวใจมีทีมหลายสิบชีวิตทำงานร่วมกัน ได้แก่• ศัลยแพทย์หัวใจและทรวงอก ผู้ทำการผ่าตัดหลัก• วิสัญญีแพทย์เฉพาะทางหัวใจ ดูแลยาสลบ สมดุลเกลือแร่และการทำงานของอวัยวะ• Perfusionist ผู้เชี่ยวชาญควบคุมเครื่องปอด-หัวใจเทียม• พยาบาลเฉพาะทางห้องผ่าตัด (Scrub Nurse และ Circulating Nurse)• ทีมสนับสนุน เช่น นักเทคนิคการแพทย์, ช่างเทคนิค และทีม ICU ที่เตรียมพร้อมรับช่วงหลังผ่าตัดทันที⸻4. #ระบบ Lab ในห้องผ่าตัดห้องผ่าตัดหัวใจมีระบบ Lab อยู่ภายในเพื่อเจาะและตรวจเลือดได้ทันที โดยผลที่สำคัญ อาทิ• ค่ากรด-ด่าง (ABG)• ค่าเกลือแร่ (Electrolyte)• การแข็งตัวของเลือด (Coagulation)• ค่า Hematocrit/Hemoglobinหากพบค่าที่ผิดปกติระดับ Critical Value ผลจะถูกส่งถึงทีมผ่าตัดทันทีเพื่อปรับการรักษาแบบเรียลไทม์ เช่น การให้เลือดหรือยา⸻5. #เทคนิคการดูแลหัวใจระหว่างผ่าตัด• ใช้สารละลาย Cardioplegia ทำให้หัวใจหยุดเต้นอย่างปลอดภัย และช่วยลดการใช้ออกซิเจนของกล้ามเนื้อหัวใจ• ควบคุมอุณหภูมิร่างกายผู้ป่วยให้อยู่ในระดับ Mild Hypothermia เพื่อชะลอการเผาผลาญและป้องกันการบาดเจ็บของอวัยวะ• ใช้ Heparin ป้องกันการเกิดลิ่มเลือดในเครื่องปอด-หัวใจเทียม พร้อมตรวจ Coagulation ตลอดการผ่าตัดเพื่อควบคุมสมดุล⸻6. #เวลาและความแม่นยำการผ่าตัดหัวใจแบบเปิดใช้เวลาหลายชั่วโมง แต่ทุกนาทีถูกออกแบบอย่างเป็นระบบ ทีมแพทย์และเครื่องมือทำงานร่วมกันเหมือน “วงออร์เคสตรา” ที่ต้องแม่นยำไร้ข้อผิดพลาด เพื่อให้หัวใจที่หยุดลงชั่วคราว กลับมาเต้นอีกครั้งอย่างแข็งแรง