10 วิธีรับมือ COVID-19 ในผู้ป่วยมะเร็ง

10 วิธีรับมือ COVID-19 ในผู้ป่วยมะเร็ง

ในสถานการณ์ที่ประเทศไทยและทั่วโลกมีการแพร่ระบาดของ COVID-19 ผู้ป่วยโรคมะเร็งจำเป็นที่จะต้องดูแลสุขภาพตัวเองเพื่อรับมือกับสถานการณ์ในระยะที่ยังคงมีการแพร่ระบาดอยู่ มีผู้ป่วยมะเร็งหลายคนสงสัยว่าตนเองมีความเสี่ยงมากกว่าคนทั่วไปหรือไม่ รวมถึงหากได้รับเชื้อ COVID-19 แนวทางการรักษาและการให้ยานั้นเหมือนหรือต่างจากผู้ป่วยทั่วไปที่ได้รับเชื้ออย่างไร เพราะฉะนั้นการรู้วิธีรับมืออย่างถูกต้องจึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรละเลย

10 วิธีดังต่อไปนี้ผู้ป่วยมะเร็งควรรู้เพื่อดูแลตัวเองในช่วง COVID-19

  1. ผู้ป่วยมะเร็งที่อยู่ในระหว่างการรักษาหรือให้เคมีบำบัด ควรไปพบแพทย์ตามนัดอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การรักษาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ
  2. ทุกครั้งที่ออกจากบ้านต้องสวมหน้ากากอนามัยและพกเจลแอลกอฮอล์ติดตัวไว้ตลอดเวลา
  3. เลือกหน้ากากอนามัยคุณภาพดีได้มาตรฐาน ถ้าเป็นหน้ากากผ้าต้องเป็นผ้าที่สามารถป้องกันละอองฝอยในอากาศได้
  4. ไม่ควรอยู่ในสถานที่แออัดโดยไม่จำเป็นและต้องรักษาระยะห่าง (Social Distancing) กับคนรอบข้าง
  5. รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ มีสารอาหารครบ 5 หมู่ โดยเน้นโปรตีนเป็นหลัก
  6. ออกกำลังกายแบบพอเหมาะที่สามารถทำเองได้ที่บ้าน
  7. ในกรณีที่ผู้ป่วยมะเร็งมีโรคประจำตัวเรื้อรัง ได้แก่ เบาหวาน อ้วน หัวใจ ตับ ไตเรื้อรัง ปอดและทางเดินหายใจ และภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง ซึ่งอยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูงหากติดเชื้อ COVID-19 อาจร้ายแรงและอันตรายถึงชีวิตได้ แพทย์จะพิจารณาและให้ยาเฉพาะโรคเป็นรายบุคคลไป
  8. ผู้ป่วยมะเร็งปอดต้องใส่ใจดูแลสุขภาพตัวเองเป็นพิเศษ เพื่อสร้างความแข็งแรงให้ปอดและร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายตามความเหมาะสม พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่ออกจากบ้านถ้าไม่จำเป็น เว้นแต่แพทย์นัดการติดตามอาการ ใส่หน้ากากอนามัย พกเจลแอลกอฮอล์ล้างมือ และหมั่นรักษาความสะอาดอยู่เสมอ
  9. Stay Home Stay Healthy อยู่บ้านพร้อมกับสุขภาพกายใจที่แข็งแรง หากิจกรรมทำ ไม่ว่าจะเป็นออกกำลังกาย อ่านหนังสือ ฟังเพลง ทำงานบ้าน งานอดิเรกที่ชอบ เป็นต้น เพื่อให้เกิดความผ่อนคลาย ที่สำคัญรักษาจิตใจให้แจ่มใส ไม่เครียด ภูมิคุ้มกันจะได้ไม่ตก สร้างพลังบวกให้มีกำลังใจใช้ชีวิตในทุก ๆ วัน
  10. เลือกรับข่าวสารในช่องทางที่น่าเชื่อถือ นำเสนอข้อมูลข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง เพื่อจะได้ไม่ตื่นตระหนกและปฏิบัติตัวได้ถูกวิธีในทุกสถานการณ์

ช่วง COVID-19 ผู้ป่วยมะเร็งควรดูแลสุขภาพของตัวเองให้มากขึ้นเป็นพิเศษ หากมีข้อสงสัยควรขอคำแนะนำจากแพทย์เฉพาะทางด้านโรคมะเร็งเพื่อจะได้ดูแลตัวเองได้อย่างเหมาะสมในชีวิตประจำวัน และผ่านพ้นสถานการณ์ COVID-19 ไปด้วยกัน

ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลมะเร็งกรุงเทพ วัฒโนสถ บทความโดย พญ.พจนา จิตตวัฒนรัตน์

บทความที่เกี่ยวข้อง

มะเร็งลำไส้ใหญ่

มะเร็งลำไส้ใหญ่

มะเร็งลำไส้ใหญ่

ภูมิคุ้มกันบำบัด เพื่อรักษาผู้ป่วยมะเร็ง

ภูมิคุ้มกันบำบัด เพื่อรักษาผู้ป่วยมะเร็ง

ภูมิคุ้มกันบำบัด เพื่อรักษาผู้ป่วยมะเร็ง ปัจจุบันการรักษาโรคมะเร็งพัฒนาไปมากเพื่อคืนคุณภาพชีวิตที่ดีให้ผู้ป่วยมะเร็ง หนึ่งในนั้นคือการรักษาด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy) ซึ่งเป็นการรักษามะเร็งด้วยภูมิคุ้มกันของผู้ป่วยเอง ช่วยกำจัดและควบคุมเซลล์มะเร็งที่มีอยู่ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำไมถึงเป็นมะเร็ง โดยทั่วไปแล้วคนเราทุกคนสามารถมีเซลล์ที่ผิดปกติเกิดขึ้นในร่างกายได้ แต่ภูมิคุ้มกันของร่างกายสามารถตรวจพบและกำจัดเซลล์ดังกล่าวได้ก่อนที่จะกลายเป็นมะเร็ง แต่ในบางครั้งหากร่างกายมีภูมิคุ้มกันที่อ่อนแอหรือเซลล์ที่ผิดปกติบางชนิดมีความสามารถที่จะหลบเลี่ยงภูมิคุ้มกันก็ส่งผลให้เกิดเป็นมะเร็งขึ้นได้ ภูมิคุ้มกันบำบัดรักษามะเร็ง ภูมิคุ้มกันบำบัด (Immunotherapy) คือ การใช้ภูมิคุ้มกันต่อสู้กับเซลล์มะเร็งผ่านกระบวนการหรือยาที่เข้าไปกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันให้กำจัดเซลล์มะเร็งได้ ซึ่งมีโอกาสตอบสนองต่อการรักษามะเร็งในระยะยาวและผลข้างเคียงน้อยกว่ายาเคมีบำบัด การพัฒนาการรักษามะเร็งด้วยภูมิคุ้มกันบำบัดมีหลายวิธี เช่น ภูมิคุ้มกันบำบัดรักษาโดยใช้ที – เซลล์บำบัด (T Cell Therapy) การใช้วัคซีนโรคมะเร็ง แต่หนึ่งในวิธีที่มีการใช้อย่างแพร่หลายคือ การกระตุ้นให้ภูมิของร่างกายสามารถตรวจจับและทำลายเซลล์มะเร็ง ซึ่งเรียกยาในกลุ่มนี้ว่า Immune Check Point Inhibitor จุดเด่น Immune Check Point Inhibitor การรักษาด้วย Immune Check Point Inhibitor พบว่ามีจุดเด่นคือ ในบางระยะสามารถทำให้ผู้ป่วยมีโอกาสหายขาดมากขึ้น หรือในผู้ป่วยระยะกระจายสามารถควบคุมให้โรคสงบได้นานมาก นอกจากนี้หากพิจารณาในส่วนของผลข้างเคียงพบว่าการรักษาด้วย Immune Check Point Inhibitor มีผลข้างเคียงที่น้อยกว่าการรักษาด้วยยาเคมีบำบัด ข้อจำกัด Immune Check Point Inhibitor แม้การรักษาด้วย Immune Check Point Inhibitor จะเป็นความหวังของผู้ป่วยมะเร็ง แต่มีข้อจำกัดคือ ไม่สามารถใช้รักษามะเร็งทุกชนิดได้ ในมะเร็งบางชนิดจำเป็นต้องมีการตรวจทางชีวภาพของเซลล์เนื้อเยื่อมะเร็งก่อนเพื่อดูว่ามีโอกาสตอบสนองต่อการรักษาแบบนี้หรือไม่ ผลข้างเคียงเมื่อรักษาด้วยภูมิคุ้มกันบำบัด อย่างไรก็ตามการรักษาด้วยภูมิคุ้มกันบำบัดมีโอกาสที่จะมีอาการไม่พึงประสงค์ เช่น ผื่นคัน ท้องเสีย การทำงานของต่อมไร้ท่อ เช่น ไทรอยด์ผิดปกติ ต่อมหมวกไตผิดปกติ เป็นต้น แม้ภูมิคุ้มกันบำบัดจะเป็นนวัตกรรมใหม่ที่ช่วยรักษาผู้ป่วยมะเร็งและเพิ่มโอกาสในการหายขาด แต่สิ่งสำคัญที่สุดคือการปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์เฉพาะทางอย่างเคร่งครัดเพื่อให้ผลการรักษาเป็นที่น่าพอใจ ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลมะเร็งกรุงเทพ วัฒโนสถ

6 การดูแลสุขภาพผู้ป่วยมะเร็ง

6 การดูแลสุขภาพผู้ป่วยมะเร็ง

6 การดูแลสุขภาพผู้ป่วยมะเร็ง เมื่อป่วยเป็นมะเร็งผู้ป่วยมักวิตกกังวลและสงสัยว่าต้องดูแลตัวเองอย่างไร ซึ่งการใช้ชีวิตนั้นไม่ได้ยุ่งยากซับซ้อนหรือต่างไปจากเดิมมากนัก แต่สิ่งสำคัญคือความเข้าใจ ความตั้งใจ ความใส่ใจ และไม่ต้องกังวลใจ เพื่อให้ผลการรักษาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข 6 การดูแลสุขภาพผู้ป่วยมะเร็งนี้ คือสิ่งที่ควรรู้เมื่อเป็นมะเร็ง 1) ทานอาหารใหม่ สด สะอาด เลี่ยงของดิบ ของหมักดอง สามารถรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลได้ แต่รักษาระดับให้พอดี และควรทานโปรตีนคุณภาพดีอย่างไข่ขาว เนื้อไก่ เนื้อปลา หรือจะเลี่ยงมารับประทานเต้าหู้แทนได้เช่นกัน นอกจากนี้สามารถรับประทานอาหารทะเลได้ด้วย 2) รักษาน้ำหนักให้ดี อย่าปล่อยให้น้ำหนักลด โดยเฉพาะตอนที่รักษาโรคมะเร็งด้วยเคมีบำบัดหรือการฉายรังสี เพราะหากน้ำหนักลดจะส่งผลให้ประสิทธิภาพในการรักษาลดลง การรักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมจึงมีความสำคัญมาก 3) ระวังอย่าปล่อยให้ท้องผูก เพราะหากท้องผูกจะส่งผลให้ผู้ป่วยมะเร็งกินไม่ได้ น้ำหนักลด คลื่นไส้ อาเจียน ท้องอืด ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการรักษาค่อนข้างมาก ดังนั้นผู้ป่วยมะเร็งจึงควรรับประทานผักผลไม้ ดื่มน้ำให้มาก เพื่อป้องกันท้องผูก แต่หากดูแลตนเองแล้วยังท้องผูก สามารถรับประทานยาระบายช่วยได้ 4) ออกกำลังกายหรือทำงานเท่าที่ไหว หลายคนที่ป่วยเป็นมะเร็งคิดว่าจะต้องนอนพักผ่อนเพียงอย่างเดียว ทั้งที่ความจริงแล้วนอกจากการพักผ่อน มีผลการศึกษาระบุว่า ผู้ป่วยมะเร็งที่ทำงานระหว่างการรักษามะเร็งมีผลการรักษาที่ดีกว่าผู้ป่วยมะเร็งที่นอนพักรักษาตัวเพียงอย่างเดียว ดังนั้นหากสามารถทำงาน เคลื่อนไหวร่างกาย ออกกำลังกายได้หลังทำการรักษาก็ควรทำ เพราะนอกจากช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ลดอาการปวดตึงข้อ ยังช่วยให้ร่างกายและจิตใจแข็งแรง เว้นแต่ในกรณีที่มีการรักษาด้วยการทำเคมีบำบัดบางชนิดที่อาจทำให้เหนื่อยและจำเป็นต้องนอนพักนานเป็นสัปดาห์ 5) พักผ่อนให้เพียงพอและถูกต้อง นั่นคือไม่ได้นอนหลับทั้งวัน แต่เป็นการนอนตามนาฬิกาชีวิต (Biological Clock) ซึ่งเวลาในการนอนของแต่ละคนจะไม่เท่ากัน ควรนอนก่อน 5 ทุ่มจะดีที่สุด และควรนอนให้ได้ 8 – 9 ชั่วโมง สังเกตได้จากเมื่อตื่นนอนต้องไม่มีอาการอ่อนเพลียและไม่ควรมีอาการอ่อนเพลียระหว่างวัน 6) ดูแลจิตใจให้ดี นอกจากคิดดีทำดีแล้ว การระวังเรื่องความเครียดคือสิ่งสำคัญ เพราะความเครียดทำให้มะเร็งลุกลามได้ เมื่อฮอร์โมนความเครียดหลั่งจะทำให้มะเร็งโตขึ้น มะเร็งดื้อยามากขึ้น มะเร็งกระจายตัวมากขึ้น ดังนั้นเมื่อความเครียดไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้น ผู้ป่วยมะเร็งควรทำใจให้สบายและมีความสุขในทุกวัน ซึ่งเป็นเรื่องเดียวที่ต้องทำด้วยตัวคุณเอง ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลมะเร็งกรุงเทพ วัฒโนสถ

“มะเร็งผิวหนัง”

“มะเร็งผิวหนัง”

“มะเร็งผิวหนัง” “มะเร็งผิวหนัง” พบได้น้อยในคนไทยแต่มีแนวโน้มที่เพิ่มมากขึ้นสาเหตุที่สำคัญยังไม่ทราบแน่ชัด แต่แสงแดดที่แรงมากในระดับอันตรายมากก็เป็นปัจจัยเสี่ยง และเนื่องในเดือนพฤษภาคมของทุกปี เป็นเดือนแห่งการรณรงค์ต้านภัยมะเร็งผิวหนัง จึงขอเชิญชวนชาวไทยทำความรู้จักกับมะเร็งชนิดนี้ เพื่อให้รู้ทันโรคและหาแนวทางการดูแลตัวเองอย่างเหมาะสม นายแพทย์วีรวุฒิ อิ่มสำราญ รองอธิบดีกรมการแพทย์ กล่าวว่า มะเร็งผิวหนัง เป็นมะเร็งที่พบได้น้อยในคนไทย โดยพบในเพศหญิงมากกว่าเพศชายเล็กน้อย จากสถิติข้อมูลมะเร็งประเทศไทยระหว่างปี พ.ศ. 2559-2561 (Cancer in Thailand Vol.X 2016-2018) รวบรวมโดย สถาบันมะเร็งแห่งชาติ ซึ่งในแต่ละปีพบผู้ป่วยมะเร็งผิวหนังรายใหม่เฉลี่ย 4,374 คนต่อปี หรือวันละ 12 คน มะเร็งผิวหนังมักพบที่บริเวณใบหน้า แขน ขา ฝ่ามือ ฝ่าเท้า และลำตัว ส่วนใหญ่เริ่มจากมีการเปลี่ยนแปลงของไฝ ปาน หรือเริ่มต้นเป็นแผลเล็ก ๆ แล้วจึงค่อย ๆ ขยายใหญ่ขึ้น มีลักษณะผิวขรุขระ ขอบเขตไม่ชัดเจน สีไม่สม่ำเสมอ สาเหตุที่สำคัญในการเกิดมะเร็งผิวหนังนั้นยังไม่ทราบแน่ชัด ปัจจัยเสี่ยงที่อาจทำให้เกิดมะเร็งผิวหนัง ได้แก่ แสงแดด มีบุคคลในครอบครัวเป็นมะเร็งผิวหนัง โรคทางพันธุกรรมบางโรค คนผิวขาว หรือ ผิวเผือก สารเคมีบางชนิด เช่น สารหนู แผลเรื้อรัง ภาวะภูมิต้านทานต่ำ การได้รังสีรักษา สำหรับการตรวจวินิจฉัยโรคมะเร็งผิวหนัง ทำได้โดยการตัดชิ้นเนื้อรอยโรคที่สงสัยเพื่อตรวจชิ้นเนื้อทางพยาธิวิทยา และหลังจากได้รับการวินิจฉัยแล้ว แพทย์จะทำการประเมินระยะของโรคเพื่อวางแผนการรักษาต่อไป การรักษามะเร็งผิวหนัง แพทย์ผู้เชี่ยวชาญจะพิจารณาการรักษาให้เหมาะสมกับผู้ป่วย โดยขึ้นอยู่กับชนิด ขนาด ตำแหน่งของมะเร็ง ทั้งนี้ ด้วยวิธีการรักษาทางมาตรฐานมักจะต้องทำการผ่าตัดทั้งรอยโรคและในส่วนบริเวณผิวหนังที่ปกติโดยรอบออก อาจจำเป็นต้องตัด ต่อมน้ำเหลืองในส่วนที่มะเร็งจะกระจายไป ซึ่งบางกรณีอาจต้องให้ยาเคมีบำบัด หรือ การให้รังสีรักษา ร่วมด้วย วิธีการป้องกันมะเร็งผิวหนัง หลีกเลี่ยงการอยู่กลางแดดนานๆ ควรใช้อุปกรณ์ป้องกันเพื่อลดการสัมผัสแสงแดดโดยตรง เช่น ใส่แว่นกันแดด, ใช้ร่ม, สวมหมวก, สวมเสื้อแขนยาว ควรหมั่นสังเกตบนร่างกายตนเองเป็นประจำว่ามีสิ่งผิดปกติหรือไม่ หรือหากมีแผลเรื้อรังควรรีบพบแพทย์เพื่อทำการรักษาต่อไป หากตรวจพบการเกิดมะเร็งผิวหนังได้ในระยะเริ่มต้น จะทำให้การรักษาโรคมะเร็งนั้นง่ายขึ้น เมื่อสงสัยว่าผิวหนังหรือไฝบนร่างกายของตนเองเริ่มมีการเปลี่ยนแปลงและพบว่ามีความผิดปกติ ท่านควรไปปรึกษาแพทย์เพื่อการวินิจฉัยและทำการรักษาที่ถูกต้อง ท่านสามารถติดตามข่าวสารความรู้เรื่องโรคมะเร็งจากสถาบันมะเร็งแห่งชาติเพิ่มเติมได้ที่ ขอบคุณข้อมูลจาก : BDMS สถานีสุขภาพ

รังสีร่วมรักษา Interventional-Radiology

รังสีร่วมรักษา Interventional-Radiology

รังสีร่วมรักษา Interventional-Radiology “วิทยาการสมัยใหม่สามารถนำมาใช้ร่วมในการรักษาผู้ป่วยโดยตรงทั้งการเจาะตรวจชิ้นเนื้อและการสวนหลอดเลือดอย่างปลอดภัย เพื่อร่วมในการดูแลผู้ป่วยอย่างรอบด้าน” โดยแพทย์ผู้ชำนาญการ สาขา รังสีวิทยาทั่วไป สาขา รังสีวินิจฉัย อนุสาขา รังสีวิทยาหลอดเลือดและรังสีร่วมรักษา อนุสาขา รังสีร่วมรักษาของลำตัว การรักษาโรคมะเร็งโดยไม่ต้องผ่าตัด แต่ให้ผลใกล้เคียงกับการผ่าตัด เชี่ยวชาญ แม่นยำ แผลเล็ก ไม่ต้องผ่าตัด ฟื้นตัวไว #รังสีร่วมรักษา #โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี Call Center: 039-319-888 ฉุกเฉินโทร: 1719

รักษามะเร็งตับด้วยเทคนิค TACE

รักษามะเร็งตับด้วยเทคนิค TACE

โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรีมุ่งมั่นที่จะเป็นผู้นำด้านการรักษามะเร็งตับ ด้วยเทคโนโลยีล้ำสมัยที่ไม่ต้องผ่าตัดผ่านเทคนิค TACE (Trans Arterial Chemo Embolization) ซึ่งเป็นวิธีการส่งยาเคมีบำบัดโดยตรงผ่านหลอดเลือดแดงไปยังก้อนมะเร็งตับ พร้อมอุดกั้นหลอดเลือดที่ไปหล่อเลี้ยงก้อนเนื้อ เพื่อหยุดการเจริญเติบโตของมะเร็งอย่างมีประสิทธิภาพ วิธีนี้ทำให้ผู้ป่วยได้รับการรักษาที่แม่นยำ ลดภาวะแทรกซ้อน และฟื้นตัวได้เร็ว สามารถกลับไปใช้ชีวิตได้อย่างปกติในระยะเวลาอันสั้น ความพร้อมและศักยภาพของโรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี ในการใช้เทคโนโลยีทางรังสีร่วมรักษา (Interventional Radiology: IR) เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีการรักษา ที่สร้างความมั่นใจให้กับผู้ป่วย ด้วยทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทางด้านรังสีร่วมรักษาและอนุสาขา Sub-Board of Vascular and Interventional Radiology โรงพยาบาลพร้อมด้วยเครื่องมือวินิจฉัยและรักษาที่ทันสมัยที่สุด อาทิ: • เอกซเรย์ (X-ray) • คลื่นเสียงความถี่สูง (Ultrasound) • เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT Scan) • คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรีมุ่งเน้นการรักษาอย่างแม่นยำ รวดเร็ว และปลอดภัย ช่วยลดความเสี่ยงและภาวะแทรกซ้อนต่าง ๆ ด้วยการนำเทคโนโลยีขั้นสูงมาช่วยในทุกขั้นตอน พร้อมด้วยทีมแพทย์และบุคลากรที่ใส่ใจในทุกความต้องการของผู้ป่วย เราพร้อมให้การดูแลด้วยมาตรฐานระดับสูงสุด เพื่อให้ผู้ป่วยได้รับการฟื้นฟูและมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้นอย่างรวดเร็ว Call Center: 039-319-888 ฉุกเฉินโทร: 1719

Hospital Logo

ติดต่อสอบถามเจ้าหน้าที่

บริการให้คำปรึกษาตลอด 24 ชั่วโมง