มะเร็งเต้านม

บทความที่เกี่ยวข้อง

ยามุ่งเป้ายับยั้งรักษามะเร็ง

ยามุ่งเป้ายับยั้งรักษามะเร็ง

ยามุ่งเป้ายับยั้งรักษามะเร็ง ยามุ่งเป้าเป็นหนึ่งในวิธีการรักษาผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ช่วยยับยั้งการแบ่งตัวและการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง เพื่อให้ผู้ป่วยมะเร็งกลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีอีกครั้ง ยามุ่งเป้าเป็นหนึ่งในวิธีการรักษาผู้ป่วยมะเร็งที่ได้รับการพัฒนามาอย่างต่อเนื่อง ช่วยยับยั้งการแบ่งตัวและการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง เพื่อให้ผู้ป่วยมะเร็งกลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีอีกครั้ง และเพราะการออกฤทธิ์ที่เฉพาะเจาะจงนี้เองจึงทำให้ผลข้างเคียง โดยรวมของยามุ่งเป้าน้อยกว่ายาเคมีบำบัด ทั้งนี้ในมะเร็งแต่ละชนิดอาจจะมียามุ่งเป้าที่แตกต่างกัน และไม่ใช่มะเร็งทุกชนิดที่สามารถใช้ยามุ่งเป้าได้ สิ่งสำคัญคือการปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัดเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีในการรักษา ยามุ่งเป้าคืออะไร ยามุ่งเป้า (Targeted Therapy) คือ การใช้ยาที่มีความเฉพาะเจาะจงสูงในการรักษาโรคมะเร็ง โดยมีเป้าหมายคือเข้าไปทำลายโปรตีนที่เป็นเป้ามายภายในเซลล์มะเร็งโดยตรง ทำให้สามารถยับยั้งการแบ่งและการแพร่กระจายของเซลล์มะเร็ง ยามุ่งเป้ารักษามะเร็งชนิดใด ปัจจุบันยามุ่งเป้ารักษามะเร็งได้หลายชนิด ทั้งมะเร็งในระยะเริ่มต้นและมะเร็งในระยะแพร่กระจาย ได้แก่ มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งเต้านม มะเร็งปอด มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งตับ มะเร็งต่อมไทรอยด์ มะเร็งเม็ดเลือดขาวและมะเร็งต่อมน้ำเหลือง ยามุ่งเป้ารักษามะเร็งชนิดใด ปัจจุบันยามุ่งเป้ารักษามะเร็งได้หลายชนิด ทั้งมะเร็งในระยะเริ่มต้นและมะเร็งในระยะแพร่กระจาย ได้แก่ มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งเต้านม มะเร็งปอด มะเร็งกระเพาะอาหาร มะเร็งต่อมลูกหมาก มะเร็งตับ มะเร็งต่อมไทรอยด์ มะเร็งเม็ดเลือดขาวและมะเร็งต่อมน้ำเหลือง การใช้ยามุ่งเป้าเพื่อรักษามะเร็ง แพทย์เฉพาะทางมะเร็งจะตรวจการกลายพันธุ์และโปรตีนในชิ้นเนื้อมะเร็ง หรือในเลือด ของผู้ป่วย เพื่อประเมินความเหมาะสมของการใช้ยามุ่งเป้าในผู้ป่วยรายนั้น ๆ ผลข้างเคียงที่พบได้จากยามุ่งเป้า เมื่อเทียบกับยาเคมีบำบัด ยามุ่งเป้ามีผลข้างเคียงต่ำกว่า แต่หลังการรักษาด้วยยามุ่งเป้าก็อาจพบอาการข้างเคียงได้เช่นกัน อาทิ ผิวแห้ง ผื่นผิวหนังลักษณะคล้ายสิว คัน จมูกเล็บอักเสบ ท้องเสีย เยื่อบุปากอักเสบ อ่อนเพลีย เบื่ออาหาร ความดันโลหิตสูง เป็นต้น ซึ่งผลข้างเคียงจะแตกต่างกันออกไปในแต่ละบุคคล ควรปรึกษาแพทย์เฉพาะทางด้านมะเร็งอย่างใกล้ชิด ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลมะเร็งกรุงเทพ วัฒโนสถ โดย นพ.จิตรการ มิติสุบิน

10 วิธีรับมือ COVID-19 ในผู้ป่วยมะเร็ง

10 วิธีรับมือ COVID-19 ในผู้ป่วยมะเร็ง

10 วิธีรับมือ COVID-19 ในผู้ป่วยมะเร็ง ในสถานการณ์ที่ประเทศไทยและทั่วโลกมีการแพร่ระบาดของ COVID-19 ผู้ป่วยโรคมะเร็งจำเป็นที่จะต้องดูแลสุขภาพตัวเองเพื่อรับมือกับสถานการณ์ในระยะที่ยังคงมีการแพร่ระบาดอยู่ มีผู้ป่วยมะเร็งหลายคนสงสัยว่าตนเองมีความเสี่ยงมากกว่าคนทั่วไปหรือไม่ รวมถึงหากได้รับเชื้อ COVID-19 แนวทางการรักษาและการให้ยานั้นเหมือนหรือต่างจากผู้ป่วยทั่วไปที่ได้รับเชื้ออย่างไร เพราะฉะนั้นการรู้วิธีรับมืออย่างถูกต้องจึงเป็นเรื่องที่ไม่ควรละเลย 10 วิธีดังต่อไปนี้ผู้ป่วยมะเร็งควรรู้เพื่อดูแลตัวเองในช่วง COVID-19 ผู้ป่วยมะเร็งที่อยู่ในระหว่างการรักษาหรือให้เคมีบำบัด ควรไปพบแพทย์ตามนัดอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้การรักษาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ ทุกครั้งที่ออกจากบ้านต้องสวมหน้ากากอนามัยและพกเจลแอลกอฮอล์ติดตัวไว้ตลอดเวลา เลือกหน้ากากอนามัยคุณภาพดีได้มาตรฐาน ถ้าเป็นหน้ากากผ้าต้องเป็นผ้าที่สามารถป้องกันละอองฝอยในอากาศได้ ไม่ควรอยู่ในสถานที่แออัดโดยไม่จำเป็นและต้องรักษาระยะห่าง (Social Distancing) กับคนรอบข้าง รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ มีสารอาหารครบ 5 หมู่ โดยเน้นโปรตีนเป็นหลัก ออกกำลังกายแบบพอเหมาะที่สามารถทำเองได้ที่บ้าน ในกรณีที่ผู้ป่วยมะเร็งมีโรคประจำตัวเรื้อรัง ได้แก่ เบาหวาน อ้วน หัวใจ ตับ ไตเรื้อรัง ปอดและทางเดินหายใจ และภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่อง ซึ่งอยู่ในกลุ่มเสี่ยงสูงหากติดเชื้อ COVID-19 อาจร้ายแรงและอันตรายถึงชีวิตได้ แพทย์จะพิจารณาและให้ยาเฉพาะโรคเป็นรายบุคคลไป ผู้ป่วยมะเร็งปอดต้องใส่ใจดูแลสุขภาพตัวเองเป็นพิเศษ เพื่อสร้างความแข็งแรงให้ปอดและร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายตามความเหมาะสม พักผ่อนให้เพียงพอ ไม่ออกจากบ้านถ้าไม่จำเป็น เว้นแต่แพทย์นัดการติดตามอาการ ใส่หน้ากากอนามัย พกเจลแอลกอฮอล์ล้างมือ และหมั่นรักษาความสะอาดอยู่เสมอ Stay Home Stay Healthy อยู่บ้านพร้อมกับสุขภาพกายใจที่แข็งแรง หากิจกรรมทำ ไม่ว่าจะเป็นออกกำลังกาย อ่านหนังสือ ฟังเพลง ทำงานบ้าน งานอดิเรกที่ชอบ เป็นต้น เพื่อให้เกิดความผ่อนคลาย ที่สำคัญรักษาจิตใจให้แจ่มใส ไม่เครียด ภูมิคุ้มกันจะได้ไม่ตก สร้างพลังบวกให้มีกำลังใจใช้ชีวิตในทุก ๆ วัน เลือกรับข่าวสารในช่องทางที่น่าเชื่อถือ นำเสนอข้อมูลข้อเท็จจริงที่ถูกต้อง เพื่อจะได้ไม่ตื่นตระหนกและปฏิบัติตัวได้ถูกวิธีในทุกสถานการณ์ ช่วง COVID-19 ผู้ป่วยมะเร็งควรดูแลสุขภาพของตัวเองให้มากขึ้นเป็นพิเศษ หากมีข้อสงสัยควรขอคำแนะนำจากแพทย์เฉพาะทางด้านโรคมะเร็งเพื่อจะได้ดูแลตัวเองได้อย่างเหมาะสมในชีวิตประจำวัน และผ่านพ้นสถานการณ์ COVID-19 ไปด้วยกัน ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลมะเร็งกรุงเทพ วัฒโนสถ บทความโดย พญ.พจนา จิตตวัฒนรัตน์

การให้ยาเคมีบำบัด

การให้ยาเคมีบำบัด

การให้ยาเคมีบำบัด เคมีบําบัด คือ การรักษาโรคมะเร็งด้วยยาเคมี โดยยาจะผ่านเข้าทางกระแสเลือดและไปทําลายเซลล์มะเร็งทั่วร่างกาย ยาเคมีบําบัดสามารถให้โดยการฉีดเข้าทางร่างกาย เส้นเลือด หรือรับประทาน เคมีบําบัดช่วยขจัดหรือทําลายมะเร็งที่อาจหลงเหลืออยู่ภายหลังการผ่าตัดเพื่อป้องกันการแพร่กระจายของโรคหรือการกลับมาเป็นซ้ำ วัตถุประสงค์ในการรักษาด้วยยาเคมีบำบัด เพื่อรักษาให้หายขาด (CURE) เป็นการรักษาเพื่อให้ผู้ป่วยหายจากโรคมะเร็ง และไม่กลับมาเป็นซ้ำ ในโรคมะเร็งบางชนิดที่มีโอกาสหายขาด เพื่อควบคุมโรค (CONTROL) สำหรับมะเร็งบางชนิดที่ไม่สามารถรักษาให้หายขาดได้ เพื่อบรรเทาอาการ (PALLIATION) สำหรับผู้ป่วยมะเร็งระยะแพร่กระจาย เพื่อบรรเทาอาการจากโรคมะเร็งเพื่อให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น ผลข้างเคียงของยาเคมีบำบัด ยาเคมีบำบัดมีฤทธิ์ทำลายเซลล์มะเร็งที่มีการแบ่งเซลล์อย่างรวดเร็ว ซึ่งรวมถึงเซลล์ร่างกายปกติที่มีการแบ่งตัวอย่างรวดเร็วด้วย เช่น ไขกระดูก, เซลล์เม็ดเลือด, ผม, เยื่อบุทางเดินอาหาร และเยื่อบุอวัยยะสืบพันธุ์ ทำให้เกิดผลข้างเคียงต่อผู้ป่วยที่แตกต่างกันไปขึ้นกับชนิดยาเคมีบำบัด ปริมาณยา วิธีการให้ยา และปัจจัยของตัวผู้ป่วยเองแต่ละคน แต่เมื่อหยุดการรักษาเซลล์เนื้อเยื่อเหล่านี้จะฟื้นตัวกลับสู่ภาวะปกติได้ การเตรียมตัวก่อนรับยาเคมีบําบัด เตรียมสุขภาพร่างกายให้สมบูรณ์ นอนพักผ่อนให้เพียงพอ ผ่อนคลายความวิตกกังวล แพทย์จะทําการตรวจร่างกายทั่วไปและตรวจทางห้องปฎิบัติการ เช่น ตรวจเลือด ตรวจการทํางานของหัวใจ เอกซเรย์ เป็นต้น ควรปัสสาวะหรืออุจจาระให้เรียบร้อยก่อนรับยา ไม่ควรกลั้นไว้ เพราะเป็นการเพิ่มภาวะเครียดและความไม่สุขสบาย สอบถามเพิ่มเติมได้ที่คลินิกมะเร็ง โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี 039-319888

มะเร็งตับ (Liver cancer)

มะเร็งตับ (Liver cancer)

มะเร็งตับ (Liver cancer) มะเร็งตับ นับเป็นโรคมะเร็งชนิดหนึ่งที่พบบ่อยในประเทศไทย เกิดได้จากหลายสาเหตุ มักแสดงอาการเมื่อเข้าสู่ระยะลุกลามแล้ว ทำให้การควบคุมโรคเป็นไปได้ยาก และมีอัตราการเสียชีวิตค่อนข้างสูง สาเหตุของมะเร็งตับ มีภาวะตับอักเสบเรื้อรัง การติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบีหรือซี ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ โรคไขมันพอกตับในผู้ที่เป็นโรคอ้วน โรคตับคั่งน้ำดี โรคตับอักเสบจากระบบภูมิคุ้มกันทำร้ายตัวเอง อาการมะเร็งตับ ผู้ป่วยมะเร็งตับในระยะแรกมักไม่มีอาการ ดังนั้นการตรวจสุขภาพประจำปี โดยเลือกโปรแกรมที่ตรวจความผิดปกติของตับอย่างครอบคลุมจึงมีความสำคัญมาก เพราะอาการของโรคมะเร็งตับมักแสดงในระยะที่ลุกลามแล้ว และอาการของมะเร็งตับที่พบบ่อย มีดังนี้ ปวดจุกบริเวณชายโครงขวาหรือช่องท้องส่วนบน เบื่ออาหาร น้ำหนักตัวลด มีภาวะท้องมาน ขาบวม ปัสสาวะสีเหลืองเข้ม ตาเหลือง ตัวเหลือง การวินิจฉัยโรคมะเร็งตับ การซักประวัติตรวจร่างกาย การตรวจเลือดดูการทำงานของตับ ไวรัสตับอักเสบ และสารบ่งชี้มะเร็งตับ (alpha-fetoprotein) การตรวจทางรังสีที่ตับและช่องท้อง เช่น การอัลตราซาวด์(Ultrasound) การตรวจเอ็กซเรย์คอมพิวเตอร์ (CT-Scan) การตรวจด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (MRI) การเจาะตับเพื่อตัดชิ้นเนื้อส่งตรวจทางพยาธิวิทยา ภาวะแทรกซ้อนของมะเร็งตับ มะเร็งตับลุกลามไปยังอวัยวะต่างๆในร่ากาย ตับวาย ทำให้ตับเสียหน้าทีการทำงาน อาจถึงขั้นเสียขีวิตได้ การรักษาโรคมะเร็งตับ การวางแผนเลือกวิธีการรักษาในผู้ป่วยแต่ละรายอาจจะแตกต่างกันออกไปตามการพิจารณาของแพทย์ โดยวิธี การรักษาหลักๆมีดังนี้ การผ่าตัด รังสีรักษา การให้เคมีบำบัด การปลูกถ่ายตับ การป้องกันโรคมะเร็งตับ ฉีดวัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี และ ไวรัสตับอักเสบซี หลีกเลี่ยงการดื่มแอลกอฮอล์ ไม่สูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงการเข้าไปในที่ที่มีควันบุหรี่ ป้องกันตัวเองด้วยการสวมอุปกรณ์ป้องกันทุกครั้งที่ต้องสัมผัสเลือดหรือสิ่งคัดหลั่งของผู้ป่วยไวรัสตับอักเสบบี และซี ออกกำลังกาย ควบคุมน้ำหนัก พักผ่อนอย่างเพียงพอ สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์โรคระบบทางเดินอาหารและตับ โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี 039-319888

6 การดูแลสุขภาพผู้ป่วยมะเร็ง

6 การดูแลสุขภาพผู้ป่วยมะเร็ง

6 การดูแลสุขภาพผู้ป่วยมะเร็ง เมื่อป่วยเป็นมะเร็งผู้ป่วยมักวิตกกังวลและสงสัยว่าต้องดูแลตัวเองอย่างไร ซึ่งการใช้ชีวิตนั้นไม่ได้ยุ่งยากซับซ้อนหรือต่างไปจากเดิมมากนัก แต่สิ่งสำคัญคือความเข้าใจ ความตั้งใจ ความใส่ใจ และไม่ต้องกังวลใจ เพื่อให้ผลการรักษาเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและใช้ชีวิตได้อย่างมีความสุข 6 การดูแลสุขภาพผู้ป่วยมะเร็งนี้ คือสิ่งที่ควรรู้เมื่อเป็นมะเร็ง 1) ทานอาหารใหม่ สด สะอาด เลี่ยงของดิบ ของหมักดอง สามารถรับประทานอาหารที่มีน้ำตาลได้ แต่รักษาระดับให้พอดี และควรทานโปรตีนคุณภาพดีอย่างไข่ขาว เนื้อไก่ เนื้อปลา หรือจะเลี่ยงมารับประทานเต้าหู้แทนได้เช่นกัน นอกจากนี้สามารถรับประทานอาหารทะเลได้ด้วย 2) รักษาน้ำหนักให้ดี อย่าปล่อยให้น้ำหนักลด โดยเฉพาะตอนที่รักษาโรคมะเร็งด้วยเคมีบำบัดหรือการฉายรังสี เพราะหากน้ำหนักลดจะส่งผลให้ประสิทธิภาพในการรักษาลดลง การรักษาน้ำหนักให้อยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสมจึงมีความสำคัญมาก 3) ระวังอย่าปล่อยให้ท้องผูก เพราะหากท้องผูกจะส่งผลให้ผู้ป่วยมะเร็งกินไม่ได้ น้ำหนักลด คลื่นไส้ อาเจียน ท้องอืด ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพการรักษาค่อนข้างมาก ดังนั้นผู้ป่วยมะเร็งจึงควรรับประทานผักผลไม้ ดื่มน้ำให้มาก เพื่อป้องกันท้องผูก แต่หากดูแลตนเองแล้วยังท้องผูก สามารถรับประทานยาระบายช่วยได้ 4) ออกกำลังกายหรือทำงานเท่าที่ไหว หลายคนที่ป่วยเป็นมะเร็งคิดว่าจะต้องนอนพักผ่อนเพียงอย่างเดียว ทั้งที่ความจริงแล้วนอกจากการพักผ่อน มีผลการศึกษาระบุว่า ผู้ป่วยมะเร็งที่ทำงานระหว่างการรักษามะเร็งมีผลการรักษาที่ดีกว่าผู้ป่วยมะเร็งที่นอนพักรักษาตัวเพียงอย่างเดียว ดังนั้นหากสามารถทำงาน เคลื่อนไหวร่างกาย ออกกำลังกายได้หลังทำการรักษาก็ควรทำ เพราะนอกจากช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ ลดอาการปวดตึงข้อ ยังช่วยให้ร่างกายและจิตใจแข็งแรง เว้นแต่ในกรณีที่มีการรักษาด้วยการทำเคมีบำบัดบางชนิดที่อาจทำให้เหนื่อยและจำเป็นต้องนอนพักนานเป็นสัปดาห์ 5) พักผ่อนให้เพียงพอและถูกต้อง นั่นคือไม่ได้นอนหลับทั้งวัน แต่เป็นการนอนตามนาฬิกาชีวิต (Biological Clock) ซึ่งเวลาในการนอนของแต่ละคนจะไม่เท่ากัน ควรนอนก่อน 5 ทุ่มจะดีที่สุด และควรนอนให้ได้ 8 – 9 ชั่วโมง สังเกตได้จากเมื่อตื่นนอนต้องไม่มีอาการอ่อนเพลียและไม่ควรมีอาการอ่อนเพลียระหว่างวัน 6) ดูแลจิตใจให้ดี นอกจากคิดดีทำดีแล้ว การระวังเรื่องความเครียดคือสิ่งสำคัญ เพราะความเครียดทำให้มะเร็งลุกลามได้ เมื่อฮอร์โมนความเครียดหลั่งจะทำให้มะเร็งโตขึ้น มะเร็งดื้อยามากขึ้น มะเร็งกระจายตัวมากขึ้น ดังนั้นเมื่อความเครียดไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้น ผู้ป่วยมะเร็งควรทำใจให้สบายและมีความสุขในทุกวัน ซึ่งเป็นเรื่องเดียวที่ต้องทำด้วยตัวคุณเอง ขอบคุณข้อมูลจาก : โรงพยาบาลมะเร็งกรุงเทพ วัฒโนสถ

รังสีร่วมรักษา Interventional-Radiology

รังสีร่วมรักษา Interventional-Radiology

รังสีร่วมรักษา Interventional-Radiology “วิทยาการสมัยใหม่สามารถนำมาใช้ร่วมในการรักษาผู้ป่วยโดยตรงทั้งการเจาะตรวจชิ้นเนื้อและการสวนหลอดเลือดอย่างปลอดภัย เพื่อร่วมในการดูแลผู้ป่วยอย่างรอบด้าน” โดยแพทย์ผู้ชำนาญการ สาขา รังสีวิทยาทั่วไป สาขา รังสีวินิจฉัย อนุสาขา รังสีวิทยาหลอดเลือดและรังสีร่วมรักษา อนุสาขา รังสีร่วมรักษาของลำตัว การรักษาโรคมะเร็งโดยไม่ต้องผ่าตัด แต่ให้ผลใกล้เคียงกับการผ่าตัด เชี่ยวชาญ แม่นยำ แผลเล็ก ไม่ต้องผ่าตัด ฟื้นตัวไว #รังสีร่วมรักษา #โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี Call Center: 039-319-888 ฉุกเฉินโทร: 1719

Hospital Logo

ติดต่อสอบถามเจ้าหน้าที่

บริการให้คำปรึกษาตลอด 24 ชั่วโมง