ปากเบี้ยว ตาตก! สัญญาณ “โรคหน้าเบี้ยวครึ่งซีก”

ปากเบี้ยว ตาตก! สัญญาณ “โรคหน้าเบี้ยวครึ่งซีก” อาการป่วยที่พบมากถึง 5,000 คนต่อปี โดยมีหนึ่งในปัจจัยเสี่ยงที่น่าห่วงคือกลุ่มของคนพักผ่อนน้อย

โรคหน้าเบี้ยวครึ่งซีก ความผิดปกติของเส้นประสาทสมองคู่ที่ 7

“โรคหน้าเบี้ยวครึ่งซีก” หรือ “Bell’s Palsy” เป็นโรคที่เกิดจากการอักเสบของเส้นประสาทสมองคู่ที่ 7 ซึ่งเป็นเส้นประสาทที่ช่วยเลี้ยงกล้ามเนื้อของใบหน้าทั้งด้านบนและล่าง เพราะฉะนั้นเมื่อเวลามีความผิดปกติของเส้นประสาทสมองเส้นนี้ จะส่งผลให้กล้ามเนื้อใบหน้าอ่อนแรงไป อย่างเช่นกรณีของคุณมดดำ ที่ส่งผลให้เกิดอาการปากเบี้ยว และตาตกไปอยู่ข้างหนึ่ง

นอกจากนี้ เส้นประสาทสมองคู่ที่ 7 ยังเกี่ยวข้องกับการรับรสด้วย เพราะฉะนั้นผู้ป่วยอาจสูญเสียการรับรสของลิ้นด้านเดียวกันของใบหน้าที่อ่อนแรงไป หรือได้ยินเสียงดังกว่าปกติจากหูข้างนั้น

อย่างไรก็ตามยังไม่ทราบสาเหตุที่แน่ชัดว่า ทำไมถึงความผิดปกติของเส้นประสาทคู่ที่ 7 ได้ บางทีอาจจะเป็นจากอุบัติเหตุหรือจากเนื้องอก ก็เป็นไปได้ แต่สมมติบานที่น่าเชื่อถือมากที่สุดในปัจจุบัน คือ การเกิดจากการติดเชื้อไวรัส

อาการของโรคปากเบี้ยวจะเกิดขึ้นแบบทันทีทันใด มักมีอาการเตือน ปวดหลังหู ก่อนที่จะเริ่มมีปากเบี้ยว และปิดตาไม่ได้ อาจพบว่ามีอาการแสบตาข้างเดียว เพราะไม่สามารถปิดตาได้สนิท หรือรับประทานอาหารแล้วน้ำลายไหลออกทางมุมปากข้างใด ข้างหนึ่ง

อาการของโรคอาจจะเป็นมากขึ้นจนสามารถสังเกตเห็นได้ชัดเจนเวลาผู้ป่วย พูด ยิ้ม หรือกะพริบตา บางรายอาจเป็นมากจนไม่สามารถขยับมุมปาก หลับตาหรือยักคิ้วหลิ่วตาได้เลย บางคนสังเกตว่าพูดไม่ชัด ผิวปากไม่ดัง หรือดูดน้ำไม่ได้ เนื่องจากกล้ามเนื้อใบหน้าข้างใดข้างหนึ่งทำงานไม่ได้เหมือนปกติ

หลายคนบ่นว่า มีความรู้สึกเหมือนหน้าบวม ตึงและชาที่ใบหน้าครึ่งซีก ทั้งนี้เป็นเพราะเวลากล้ามเนื้อใบหน้าไม่ทำงานก็จะทำให้เลือดมาคั่งในบริเวณนั้นมากกว่าปกติ และจะมีผลกระตุ้นต่อเซลล์รับความรู้สึกบริเวณใบหน้า จึงเกิดอาการชาขึ้นได้ ทั้งๆ ที่ไม่มีการสูญเสียประสาทรับความรู้สึกที่ใบหน้าแต่อย่างใด อาการร่วมที่อาจพบได้คือ ลิ้นชาด้านเดียวกับที่ปากเบี้ยว ทานอาหารแล้วไม่รู้รส

อาการของโรคนี้ จะหายไปภายใน 4-8 อาทิตย์ แต่ประมาณ 10 % มีโอกาสเกิดขึ้นอีก และอาจเกิดขึ้นที่ด้านตรงข้าม ของใบหน้าได้ มีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่มีอาการเหลือปรากฏให้เห็นไปเป็นเวลานาน หรือตลอดชีวิต

แตกต่างจาก “อัมพฤกษ์”

โรคใบหน้าเบี้ยวครึ่งซีก เกิดจากความผิดปกติของตัวเส้นประสาท ไม่ได้อยู่ในเนื้อสมอง ส่งผลให้มีกล้ามเนื้อบนใบหน้าเท่านั้นที่อ่อนแรง แตกต่างจากอัมพฤกษ์ ซึ่งมีสาเหตุมากจากโรคหลอดเลือดในสมองที่เกิดจากความผิดปกติในเนื้อสมอง คนไข้นอกจากจะมีใบหน้าอ่อนแรงแล้ว อาจจะมีแขนขาอ่อนแรง มีอาการชา หรือพูดไม่ชัดอย่างอื่นร่วมด้วย

คนที่มีโอกาสเสี่ยงเป็นโรคนี้

  • หญิงตั้งครรภ์ โดยเฉพาะระยะสามเดือนสุดท้าย หรือหลังคลอดบุตร
  • ผู้ที่มีประวัติว่าคนในครอบครัวเป็นโรคนี้
  • ผู้ป่วยโรคเบาหวาน
  • ผู้ที่เคยติดเชื้อไวรัสในระบบทางเดินหายใจมาก่อน เช่น โรคหวัด หรือ ไข้หวัดใหญ่
  • คนที่พักผ่อนไม่เพียงพอ ร่างกายอ่อนแอ ทำให้ร่างกายมีภูมิต้านทานโรคต่ำลง
  • คนที่มีภาวะเครียด
  • คนที่เคยได้รับอุบัติเหตุ

การดูแลตัวเองเมื่อมีอาการ

  • ใช้น้ำตาเทียมเพื่อป้องกันตาแห้ง
  • ใช้ยาขี้ผึ้งป้ายตาก่อนนอน หรือใช้ที่ครอบตาป้องกันฝุ่นเข้าตาขณะนอนหลับ
  • สวมแว่นเวลาออกนอกบ้านเพื่อกันลมและฝุ่นละออง
  • ห้ามขยี้ตาข้างที่ปิดไม่สนิท
  • ทำกายภาพบำบัดโดยการออกกำลังกายกล้ามเนื้อใบหน้าเป็นประจำ หรือใช้อุปกรณ์พิเศษช่วยกระตุ้นใบหน้าข้างที่อ่อนแรง เช่น laser

ฝังเข็มช่วยได้ในบางราย แต่หลักฐานทางการแพทย์ยังไม่มีข้อสนับสนุนชัดเจน

มีคนเคยพูดถึงว่าการฝังเข็มสามารถช่วยได้ในคนไข้บางราย แต่ถ้าเราพิจารณาตามหลักฐานโดยรวมทางการแพทย์แล้ว ก็ยังไม่ได้มีข้อสนับสนุนชัดเจนว่ามีประโยชน์หรือไม่มีประโยชน์กันแน่

การป้องกันไม่ให้เกิดโรค

  • พักผ่อนให้เพียงพอ
  • ออกกำลังกายอย่างน้อยวันละ 30 นาที 3 -5 ครั้ง/สัปดาห์
  • สลายพฤติกรรมเสี่ยงทั้งหลาย เช่น ทำงานไม่มีวันพัก เครียดสะสม สูบบุหรี่ ดื่มแอลกอฮอล์ ทานอาหารซ้ำซากหนักไขมัน

1 ใน 5,000 คนต่อปี พบอาการหน้าเบี้ยว

โรคนี้ที่จริงแล้วเป็นกันเยอะ ตามข้อมูลที่คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดีเปิดเผยคือ ประมาณ 1 ใน 5,000 คนต่อปีจะเป็นโรคนี้ ส่วนในเรื่องของการป้องกันนั้น ปัญหาส่วนใหญ่มาจากไวรัส ซึ่งจะออกมาตอนที่ร่างกายอ่อนแอ ดังนั้นเราจะต้องสร้างภูมิต้านทานให้แข็งแรงอยู่เสมอ

อย่างไรก็ตาม โรคนี้ไม่ได้เป็นโรคร้ายแรงแต่อย่างใด และมักจะรักษาให้หายได้เกือบ 100% ภายในเวลาไม่เกิน 2 เดือน ถ้าหากผู้ป่วยได้รับการรักษาที่ถูกต้องอย่างรวดเร็วและทันเวลา แต่ความไม่มีโรคคือลาภอันประเสริฐ ดังนั้นเราควรหันมาใส่ใจและดูแลสุขภาพของตัวเองกันตั้งแต่วันนี้

ขอบคุณข้อมูลจาก : ฺBDMS สถานีสุขภาพ

บทความที่เกี่ยวข้อง

“ภาวะเลือดออกในสมอง….อันตรายถึงชีวิต”

“ภาวะเลือดออกในสมอง….อันตรายถึงชีวิต”

“ภาวะเลือดออกในสมอง….อันตรายถึงชีวิต” 5 คำถาม คำตอบ ภาวะเลือดออกในสมอง เข้าใจง่ายๆ รู้เร็ว รักษาเร็ว สุขภาพดี โดย นพ.อดิศักดิ์ แทนปั้น แพทย์ผู้ชำนาญการสาขาประสาทศัลยศาสตร์ 1. ภาวะเลือดออกในสมองคืออะไรและมีสาเหตุเกิดจากอะไร ภาวะเลือดออกในสมอง คือ กลุ่มหนึ่งของโรคหลอดเลือดสมอง ที่เกิดหลอดเลือกสมองแตกเป็นก้อนเลือดไปกดเนื้อสมอง ทำให้เกิดอาการตามตำแหน่งที่กด เช่น อาการชาอ่อนแรง พูดไม่ชัด ปวดศีรษะ ชักเกร็ง ซึมลง และถ้าเลือดออกปริมาณมากก็มีผลกดก้านสมองจนเสียชีวิตได้ สาเหตุของเลือดออกในสมองมีสองกลุ่มสาเหตุหลักๆคือ กลุ่มที่หนึ่งจากหลอดเลือดสมองโดยตรง เช่น ภาวะความดันสูง ภาวะหลอดเลือดสมองโป่งพอง ภาวะหลอดเลือดสมองผิดปกติ กับกลุ่มที่สองคือจากปัจจัยอื่นมาส่งผล เช่น อุบัติเหตุสมองได้รับบาดเจ็บ เนื้องอกในสมอง หรือภาวะการแข็งตัวของเลือดผิดปกติหรือมาจากการทานยาที่ส่งผล 2. การวินิจฉัยเลือดออกในสมองมีวิธีการอย่างไร เลือดออกในสมองเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ที่ต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน นอกจากประวัติของผู้ป่วยและการประเมินอาการแล้ว แพทย์จะทำการวินิจฉัยอย่างละเอียดด้วยวิธี CT scan ทำ MRI Scan หรือการตรวจหลอดเลือดโดยใช้เครื่องถ่ายภาพสนามแม่เหล็ก และตรวจภาพรังสีสวนหลอดเลือดสมองเพื่อประเมินภาวะเส้นเลือดแดงโป่งพอง 3. การรักษาภาวะเลือดออกในสมองมีวิธีการอย่างไร การรักษาภาวะเลือดออกในสมองเป็นการรักษาภาวะฉุกเฉิน โดยพิจารรณาปัจจัย ปริมาณเลือดที่ออกในสมอง สาเหตุ ตำแหน่งและรวมถึงขอบเขตที่เลือดออก การรับการรักษาอย่างทันท่วงทีจะช่วยให้ลดความเสียหายที่เกิดขึ้นที่สมองและช่วยให้สามารถฟื้นตัวจากภาวะเลือดออกในสมองได้เร็ว แนวทางการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล เช่น การรักษาด้วยยา การผ่าตัดเปิดกะโหลกศีรษะ การผ่าตัดใส่สายระบายเลือดและน้ำจากโพรงสมอง และการผ่าตัดโดยใช้คลิปหนีบที่บริเวณเส้นเลือดโป่งพอง เป็นต้น 4. คำแนะนำและการลดภาวะเสี่ยงเลือดออกในสมองทำอย่างไรได้บ้าง ดูแลสุภาพร่างกายและจิตใจ ด้วยหลักการ 3 อ คือ อาหารดี ทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และอารมณ์ดี ใช้ชีวิตด้วยทัศนคติที่ดี ตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี และเมื่อมีโรคประจำตัว เช่น ความดันโลหิตสูง ควรรับประทายยาควบคุมในระดับที่เหมาะสม ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น งดบุหรี่ เลิกสุรา ขับขี่มอเตอร์ไซด์ใส่หมวกนิรภัยเสมอ 5. การฟื้นฟูรักษาภาวะเลือดออกในสมองให้ผู้ป่วยกลับมาเป็นปกติใช้ระยะเวลานานเท่าไร การฟื้นฟูจากภาวะเลือดออกในสมองใช้ระยะเวลานาน มากกว่าสามเดือนจนถึงปี เพื่อให้ระบบประสาทสมองฟื้นฟูมาเป็นปกติ และขึ้นกับปัจจัยผู้ป่วยร่วมกับการทานยาสม่ำเสมอ กาพภาพอย่างต่อเนื่อง และรับประทานอาหารที่มีคุณค่าในการช่วยเสริมสร้างระบบประสาทเพื่อให้ผู้ป่วยฟื้นตัวจากเดิม “ภาวะเลือดออกในสมองก่อให้เกิดความพิการและเสียชีวิตได้ มีผลกับทั้งคนไข้ รวมถึงคนในครอบครัวที่ต้องดูแล การป้องกันไม่ให้เกิดจึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ด้วยการดูแลสุขภาพ ตรวจร่างกายสม่ำเสมอ ใช้ชีวิตอย่างรอบคอบสามารถลดความเสี่ยงได้ เมื่อมีอาการหรือสงสัยว่าเรามีเลือดออกในสมองควรพบแพทย์ทางสมองอย่างรวดเร็ว เพื่อการรักษาได้ผลดี” สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์สมองและระบบประสาท โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี 039-319888

นอนหลับอย่างไรให้สมองสดใสหลังตื่น

นอนหลับอย่างไรให้สมองสดใสหลังตื่น

นอนหลับอย่างไรให้สมองสดใสหลังตื่น เพราะการนอนหลับมีความสำคัญกับชีวิตและมีความสัมพันธ์กับการสะสมพลังงาน การสร้างสมดุลให้ทุกระบบของร่างกาย ดังนั้นการนอนหลับให้ดีไม่เพียงช่วยให้สมองแข็งแรง แต่ช่วยให้สมองได้ทำความสะอาดไปในตัวด้วย ในชีวิตประจำวันระหว่างการตื่นตัวของคน สมองและร่างกายจะมีการใช้พลังงานและเกิดผลิตผลของเหลือใช้ในระบบต่าง ๆ เสมือนเป็นขยะที่ต้องกำจัดออก หากมีปริมาณมาก รุงรัง ระเกะระกะในสมองจะส่งผลให้เกิดความบกพร่องของการส่งกระแสประสาท ความรู้ความจำถดถอย อารมณ์แปรปรวน และหากเซลล์ประสาทที่เสียหายเป็นเซลล์ประสาทที่ควบคุมการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ร่วมด้วย สุดท้ายจะทำให้เกิดภาวะการทำงานล้มเหลวของหลายระบบของร่างกาย นอนหลับให้สมองสดใส การนอนหลับที่ช่วยให้สมองได้ทำความสะอาดและสดใสหลังตื่นนอน ได้แก่ นอนหลับในปริมาณที่เหมาะสม รูปแบบและตารางการนอนหลับสม่ำเสมอ เริ่มต้นหลับง่าย หลับต่อเนื่อง ไม่หลับ ๆ ตื่น ๆ ไม่ลุกเข้าห้องน้ำมากกว่า 1 ครั้งต่อคืน มีคุณภาพการนอนหลับที่ดี อาทิ สมองหลับได้ทั้งระยะหลับตื้น หลับลึก และหลับฝัน ครบวงจรอย่างสมบูรณ์ หายใจได้ดี ไม่หยุดหายใจ ไม่ติดขัด ไม่กรน ไม่กัดฟัน หัวใจเต้นเป็นจังหวะปกติ กล้ามเนื้อผ่อนคลายขณะหลับ ไม่ละเมอ ไม่มีการกระตุกของร่างกาย หลับสงบไม่ผวากรีดร้อง ประโยชน์จากคุณภาพการนอนที่ดี หากมีปริมาณ รูปแบบ และคุณภาพการนอนหลับที่ดีจะส่งผลดีต่อสมอง ไม่ว่าจะเป็น สมองกำจัดผลิตผลเหลือใช้ของเซลล์ประสาท เสริมสร้างความจำ พัฒนาทักษะต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ร่างกายทำงานได้เป็นปกติในภาพรวมด้วย อย่างไรก็ตามด้วยความแตกต่างของแต่ละบุคคล การจะมีลักษณะการนอนหลับที่ดีทั้งรูปแบบ ปริมาณ และคุณภาพที่เหมาะสมจำเป็นจะต้องได้รับการตรวจโดยแพทย์เฉพาะทางด้านการนอนหลับเพื่อสร้างสุขภาพการนอนหลับและสร้างพื้นฐานสุขภาพที่ดีให้กับร่างกาย ขอบคุณข้อมูลจาก : ศูนย์สมองและระบบประสาท โรงพยาบาลกรุงเทพอินเตอร์เนชั่นแนล

โรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer)

โรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer)

โรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer) โรคอัลไซเมอร์ เกิดจากการตายของเซลล์สมองเป็นจำนวนมาก เป็นสาเหตุหลักในการเกิดโรคสมองเสื่อมโดนอาการของโรคจะเป็นไปอย่างช้าๆ เริ่มต้นจากไม่มีความผิดปกติเริ่มงความตำ ต่อมาจะเริ่มมีความจำถดถอยมากขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตและการเข้าสังคม อาการของโรคอัลไซเมอร์ การป้องกันโรคเพื่อลดความเสี่ยงโรคอัลไซเมอร์ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาที 5 วันต่อสัปดาห์ ฝึกการทำงานของสมอง ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมที่ โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี 039-319888

โรคหลอดเลือดสมอง ร้ายแรงแต่ป้องกันได้

โรคหลอดเลือดสมอง ร้ายแรงแต่ป้องกันได้

โรคหลอดเลือดสมอง ร้ายแรงแต่ป้องกันได้ ด้วยการใส่ใจสุขภาพและหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง โรคหลอดเลือดสมอง จะมีทั้งโรคหลอดเลือดสมองตีบและโรคหลอดเลือดสมองแตก ซึ่งชนิดของโรคจะขึ้นอยู่กับสาเหตุที่ทำให้เกิด ทุกเพศทุกวัยสามารถป่วยเป็นโรคนี้ได้จากปัจจัยที่ต่างกัน ซึ่งโรคนี้นับว่าเป็นโรคร้ายแรงที่เราพบว่าเป็นต้นเหตุของการเสียชีวิตอยู่บ่อยครั้ง แต่คุณรู้หรือไม่ว่า? โรคหลอดเลือดสมองสามารถป้องกันได้ ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต เพื่อสุขภาพที่ดีของตัวคุณเอง สิ่งที่ควรปฏิบัติ เพื่อลดโอกาสเกิดโรคหลอดเลือดสมอง ควบคุมความดันโลหิต เมื่ออายุมากขึ้น ความดันโลหิตจะเพิ่มขึ้นตามอายุ จึงต้องได้รับการตรวจวัดความดันโลหิตให้สม่ำเสมอ อย่างน้อยปีละ 1-2 ครั้ง ควบคุมเบาหวาน พยายามรักษาระดับน้ำตาลในเลือด ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และถูกสุขลักษณะ โดยลดการบริโภคอาหารที่มีไขมันอิ่มตัว และโคเลสเตอรอล รับประทานอาหารที่มีกากใยสูง เช่น ผัก ผลไม้ ข้าวซ้อมมือ อาหารประเภทธัญพืช หลีกเลี่ยงอาหารที่รสเค็มจัดเกินไปหรือผ่านกระบวนการปรุงด้วยเกลือ เช่น อาหารหมักดอง อาหารตากแห้ง หรืออาหารกระป๋อง เป็นต้น งดสูบบุหรี่ เมื่อหยุดสูบบุหรี่ 1 ปี สามารถลดปัจจัยเสี่ยงที่จะเกิดโรคหลอดเลือดสมองลงถึงครึ่งนึ่ง ถ้าหัวใจเต้นผิดจังหวะ (AF: Atrial Fibrillation) เพื่อพบแพทย์เพื่อทำการรักษาให้เร็วที่สุด ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งต้องปรับวิถีการดำเนินชีวิตให้ถูกสุขลักษณะหรือการรับประทานยาลดระดับไขมันในเลือดตามคำสั่งแพทย์ การออกกำลังกาย ควรใช้เวลาในการออกกำลังกายอย่างเหมาะสมดังต่อไปนี้ ออกกำลังกายเบา ๆ ควรใช้เวลาประมาณ 60 นาที ออกกำลังกายระดับปานกลาง ควรใช้เวลาประมาณ 30-60 นาที ออกกำลังกายที่ใช้แรงมาก ควรใช้เวลาประมาณ 20-30 นาที ควรงดดื่มแอลกอฮอล์ ควบคุมน้ำหนักตัว โดยการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต เช่น ลดการรับประทานอาหารที่มีแคลอรี่สูง และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ขอบคุณข้อมูลจาก : BDMS สถานีสุขภาพ

โรคหลอดเลือดสมอง

โรคหลอดเลือดสมอง

โรคหลอดเลือดสมอง (Stroke) Stroke หรือ โรคหลอดเลือดสมอง คือ ภาวะที่ทำให้เซลล์สมองถูกทำลาย ซึ่งมีสาเหตุมาจากหลอดเลือดสมองตีบ อุดตัน หรือแตกทำให้ขัดขวางการลำเลียงเลือดซึ่งนำออกซิเจนและสารอาหารไปเลี้ยงเซลล์สมอง ส่งผลให้สมองสูญเสียการทำหน้าที่จนเกิดอาการของอัมพฤกษ์ อัมพาต หรือร้ายแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้

ไมเกรนกับโรคเส้นเลือดสมอง

ไมเกรนกับโรคเส้นเลือดสมอง

ไมเกรนกับโรคเส้นเลือดสมอง หลายคนอาจสงสัยว่า โรคปวดศีรษะไมเกรนมีความสัมพันธ์กับโรคเส้นเลือดสมองอย่างไร ก่อนอื่นต้องทำความเข้าใจกับโรคปวดศีรษะไมเกรนก่อน เนื่องจากเป็นโรคที่พบได้บ่อยในทุกเพศทุกวัย แต่จะพบได้บ่อยที่สุดในวัยทำงาน อายุประมาณ 30 – 40 ปี รวมทั้งยังเป็นโรคที่มีผลกระทบกับการดำเนินชีวิตอย่างรุนแรง อาทิเช่น อาจทำให้ต้องหยุดงาน หยุดเรียน หรือไม่สามารถพบปะพูดคุยกับเพื่อนฝูงหรือคนในครอบครัวได้ในขณะที่มีอาการไมเกรนกำเริบ ไมเกรนเรื่องปวดหัว โรคไมเกรนไม่ได้เป็นโรคปวดศีรษะทั่วไป แต่เป็นโรคที่เกิดจากความผิดปกติของระบบประสาทเอง ซึ่งอาจจะเป็นผลมาจากพันธุกรรมที่ผิดปกติ รวมถึงปัจจัยจากสิ่งแวดล้อม เช่น ฮอร์โมน ความเครียด การอักเสบในร่างกาย เข้ามาร่วมด้วย ส่งผลทำให้เกิดโรคไมเกรนขึ้น ขณะที่เกิดอาการปวดศีรษะไมเกรนจะพบความผิดปกติของสมองหลายส่วน สมองส่วนที่เรียกว่า “ไฮโปธาลามัส” (Hypothalamus) เป็นส่วนที่เริ่มทำงานผิดปกติก่อน ซึ่งสมองส่วนนี้จะทำหน้าที่หลายอย่าง เช่น ควบคุมระบบประสาทอัตโนมัติ ควบคุมความอยากอาหาร การนอน การตื่น อุณหภูมิร่างกาย รวมทั้งฮอร์โมนในร่างกาย ในระยะถัดมาจะเกิดการทำงานผิดปกติที่ก้านสมอง (Brain stem) โดยก้านสมองจะส่งสัญญาณความปวดไปยังเส้นประสาทสมองคู่ที่ 5 ซึ่งเส้นประสาทสมองคู่ที่ 5 นี้ จะมีการปล่อยสารการอักเสบที่ส่วนปลายของเส้นประสาท ทำให้เกิดความรู้สึกปวดขึ้นที่บริเวณศีรษะและใบหน้า การรับความรู้สึกของบริเวณศีรษะและใบหน้าจะเพิ่มมากขึ้น ทำให้รับรู้การเต้นของเส้นเลือด เป็นลักษณะการปวดแบบตุบ ๆ ได้ ปวดหัวกับเส้นเลือดสมอง ปวดศีรษะไมเกรนมีส่วนเกี่ยวข้องกับโรคเส้นเลือดสมองอย่างไร คำตอบคือ คนที่เป็นไมเกรนจะมีโอกาสเกิดโรคเส้นเลือดสมองตีบและแตกมากกว่าคนปกติ! จากรายงานในวารสารทางการแพทย์ชื่อดัง “Brain” ตีพิมพ์ในเดือนตุลาคม 2017 พบว่า คนที่เป็นไมเกรนชนิดมีอาการเตือน (Migraine with aura) จะเกิดเส้นเลือดสมองตีบได้มากกว่าคนทั่วไปถึง 27% โดยเฉพาะอย่างยิ่งในผู้หญิงที่มีอายุน้อยกว่า 50 ปีจะมีปัจจัยเสี่ยงในการเกิดเส้นเลือดสมองตีบสูงที่สุด (Lantz M, et al. Brain. 2017 Oct 1;140(10):2653-2662.) คนไข้ไมเกรนชนิดมีอาการเตือนที่ใช้ยาคุมกำเนิดมีฮอร์โมนเอสโตรเจน (estrogen) เป็นส่วนประกอบ จะพบความเสี่ยงของเส้นเลือดสมองตีบเพิ่มขึ้นถึง 6 เท่า (Champaloux SW, et al. Am J Obstet Gynecol. 2017 May; 216(5):489.e1-489.e7.) การทำ MRI ศึกษาสมองในคนที่เป็นไมเกรน พบว่า สมองคนที่เป็นไมเกรนมีเส้นเลือดตีบแบบไม่แสดงอาการ (Silent Brain Infarction) และพบความผิดปกติของเนื้อสมองส่วนขาว (White Matter Lesion) มากกว่าคนทั่วไปถึง 2 เท่า (Monteith T, et al. Stroke. 2014 Jun;45(6):1830-2.) รวมทั้งยังพบว่าคนที่เป็นไมเกรนมีความเสี่ยงในการเกิดเส้นเลือดสมองแตกมากกว่าคนทั่วไปถึง 46% (Sacco S, et al. Stroke. 2013 Nov;44(11):3032-8.) จากข้อมูลทางการแพทย์ดังกล่าวข้างต้น คนที่เป็นโรคปวดศีรษะไมเกรน โดยเฉพาะอย่างยิ่งชนิดที่มีอาการเตือนจะมีความเสี่ยงในการเกิดเส้นเลือดสมองตีบและแตกมากกว่าคนทั่วไป ดังนั้นจึงต้องมีการดูแลรักษาเรื่องปวดศีรษะไมเกรนให้ดี มีการใช้ยาแก้ปวด รวมทั้งยาป้องกันอย่างถูกต้องและเหมาะสม เนื่องจากยาในกลุ่มแก้ปวดบางชนิดสามารถเพิ่มปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคเส้นเลือดสมองและหัวใจได้ การตรวจหาปัจจัยเสี่ยงในการเกิดเส้นเลือดตีบและแตกตั้งแต่อายุน้อยเป็นสิ่งที่จำเป็น เนื่องจากโรคไขมันในเลือดสูง โรคความดันโลหิตสูง หรือเบาหวานสามารถเกิดได้ในคนอายุน้อย และเป็นปัจจัยเสี่ยงสำคัญในการเกิดโรคหลอดเลือดสมอง ในคนที่มีอาการเตือนของไมเกรนเกิดขึ้นบ่อยอาจต้องตรวจหัวใจเพื่อหาว่ามีภาวะผนังกั้นห้องหัวใจรั่ว (Patent Foramen Ovale; PFO) หรือไม่ การใช้ยาคุมกำเนิดที่มีฮอร์โมนเอสโตรเจนเป็นส่วนประกอบจะทำให้ปัจจัยเสี่ยงในการเกิดโรคเส้นเลือดสมองเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน ดังนั้นจึงจำเป็นต้องปรึกษาแพทย์ผู้ชำนาญการก่อนจะใช้ยาคุมกำเนิด อย่าซื้อยาคุมกำเนิดมารับประทานเอง ขอบคุณข้อมูลจาก : ศูนย์สมองและระบบประสาท โรงพยาบาลกรุงเทพอินเตอร์เนชั่นแนล