วัคซีนปอดอักเสบสำหรับผู้สูงอายุ

อาจเป็นรูปภาพของ 2 คน และ ข้อความ

📣วัคซีนปอดอักเสบ ปรับราคา 📣
เริ่มตั้งแต่วันนี้ - 31 ธันวามคม 67 นี้

วัคซีนปอดอักเสบ (IPD) ชนิด 13 สายพันธุ์
📣ราคา 2,650 บาท (จากปกติ 3,300 บาท)
วัคซีนปอดอักเสบ (IPD) ชนิด 23 สายพันธุ์
📣ราคา 1,900 บาท (จากปกติ 2,300 บาท)

โรคปอดอักเสบเกิดขึ้นได้กับทุกคนโดยเฉพาะในเด็กเล็กและผู้สูงอายุ แต่กับผู้สูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) ที่มีภูมิต้านทานที่ลดลง มีโรคประจำตัว ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคได้มากขึ้น นอกจากนี้ยังพบว่ามีผู้สูงอายุเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก เนื่องจากเป็นการติดเชื้อที่พบบ่อยที่สุด และยังเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตเป็นอันดับ 4 ในผู้ที่มีอายุ 80 ปีขึ้นไป ทั้งนี้ยังมีผู้สูงอายุอีกจำนวนไม่น้อยที่มีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนจากโรคปอดอักเสบ ทั้งภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากการติดเชื้อในกระแสเลือด หรือระบบทางเดินหายใจล้มเหลว

ดูแลตัวเองไม่ให้เป็นโรคปอดอักเสบ
นอกจากการพาผู้สูงอายุเข้ารับวัคซีนปอดอักเสบ เพื่อป้องกันและลดความรุนแรงของโรค ที่ช่วยลดโอกาสเสี่ยงจากการเสียชีวิตที่เกิดจากโรคปอดอักเสบได้แล้ว การดูแลตัวเองด้วยวิธีเหล่านี้ จะช่วยให้ผู้สูงอายุมีสุขภาพแข็งแรง ไม่เสี่ยงต่อโรคและความเจ็บป่วยจากโรคปอดอักเสบอีกด้วย

นัดหมายแพทย์ คลิก https://doctor.bangkokhospitalchanthaburi.com/alldoctor.php

บทความที่เกี่ยวข้อง

อันตรายจากแคดเมียม

อันตรายจากแคดเมียม

แคดเมียมที่เข้าสู่ร่างกาย โดยผ่านทางระบบหายใจ และระบบทางเดินอาหาร จะเข้าสู่ระบบหมุนเวียนโลหิตจับกับโปรตีน albumin ถูกส่งไปที่ตับ ทำให้มีอาการอักเสบที่ตับ บางส่วนของแคดเมียมจะจับตัวกับโปรตีนอีกชนิดหนึ่ง (metallothionein) เข้าไปสะสมในตับและไต และถูกขับออกทางปัสสาวะ โดยขบวนการขับแคดเมียมออกจากไตเกิดขึ้นช้ามาก ใช้เวลาถึงประมาณ 20 ปี ถึงสามารถขับแคดเมียมออกได้ครึ่งหนึ่งของแคดเมียมที่มีการสะสมอยู่ในไตออกได้ ทำให้มีอาการกรวยไตอักเสบ ผู้ที่ได้รับแคดเมียมเรื้อรัง มีความเสี่ยงต่อโรคมะเร็งต่างๆ เช่น มะเร็งปอด ไต ต่อมลูกหมาก และตับอ่อน มีรายงานผู้ป่วยที่กินข้าวที่เพาะปลูกจากแหล่งที่ดินมีการปนเปื้อนแคดเมียม จะมีอาการของโรคกระดูกพรุน และกระดูกมีการเจริญที่ผิดปกติ รวมถึงโรคอิไต-อิไต (Itai-Itai disease) อีกด้วย แคดเมียมอันตรายต่อร่างกายอย่างไร ผลเฉพาะที่ ระคายเคืองต่อทางเดินหายใจ ถ้าสัมผัสนานๆ อาจทำให้ความรู้สึกในการรับกลิ่นเสียไป และเกิดคราบ หรือวงสีเหลืองที่คอฟันทีละน้อย หลังจากที่แคดเมียมถูกดูดซึมเข้าสู่ร่างกายแล้ว จะมีครึ่งชีวิตที่ยาวนาน และคงอยู่ในตับและไต ผลต่อร่างกาย พิษเฉียบพลันส่วนใหญ่ เกิดจากการหายใจเอาฝุ่น หรือฟูมแคดเมียม ซึ่งเกิดขึ้น เมื่อแคดเมียมถูกทำให้ร้อน โดยทั่วไป ระยะเวลาหลังจากสัมผัสสารจะยาวนาน 2-3 ชั่วโมงก่อนแสดงอาการ อาการเริ่มแรกจะมีการระคายเคืองเล็กน้อยของทางเดินหายใจส่วนต้น อีก 2-3 ชั่วโมงต่อมา จะมีอาการไอ เจ็บปวดใน ทรวงอก เหงื่อออกและหนาวสั่น ซึ่งเป็นอาการที่ คล้ายกับการติดเชื้อทั่วไปของทางเดินหายใจส่วนต้น ต่อมา 8-24 ชั่วโมง หลังจากสัมผัสสารอย่างฉับพลัน อาจเห็นอาการระคายเคืองอย่างแรงที่ปอด เจ็บปวดในทรวงอก หายใจลำบาก ไอ และอ่อนเพลีย อาการหายใจลำบากจะรุนแรงขึ้น เมื่อเกิดน้ำท่วมปอดตามมา อันตรายจากกรณีเช่นนี้ มีถึง 15% ผู้ป่วยที่รอดชีวิตอาจมีฟองอากาศในเนื้อเยื่อ และเนื้อปอดปูดนูนออกมา ซึ่งต้องใช้เวลานานในการรักษาให้หาย มีรายงานว่า พบพิษเรื้อรังเกิดขึ้น หลังจากสัมผัสฟูมแคดเมียมออกไซด์เป็นเวลานาน การรักษาเบื้องต้น หากร่างกายได้รับแคดเมียมจากการบริโภคอาหาร ให้ดื่มนมหรือบริโภคไข่ที่ตีแล้ว เพื่อลดการระคายเคืองของทางเดินอาหาร หรืออาจทําให้ถ่ายท้องด้วย Fleet’s Phospho Soda (เจือจาง 1:4 ด้วยนํ้า) 30-60 มิลลิกรัม เพื่อลดการดูดซึมแคดเมียม ที่มา : เว็บไซต์สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ https://www.thaihealth.or.th/?p=360223 โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรีมีบริการตรวจ ที่แผนก check up ทุกวันพุธ ตรวจด้วยการเก็บปัสสาวะ การเตรียมตัว (หลีกเลี่ยงอาหารทะเลอย่างน้อย 3 วัน ก่อนตรวจ) รู้ผลใน 7 วัน ราคาประมาณ 1,500 บาท (รวมค่าบริการและค่าแพทย์) ตรวจจากเลือด (หาสารแคดเมียม) ไม่ต้องงดน้ำงดอาหาร รู้ผลใน 5 วัน ราคาประมาณ 1,500 บาท (รวมค่าบริการและค่าแพทย์) หมายเหตุ วิธีการเลือกตรวจขึ้นอยู่กับแพทย์พิจารณาตามความเสี่ยงที่สัมผัสสาร จึงจำเป็นต้องพบแพทย์ก่อนตรวจทุกราย สอบถามเพิ่มเติมได้ที่แผนกส่งเสริมสุขภาพ โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี 039-319888

ทำไมต้องงดน้ำงดอาหารก่อนตรวจสุขภาพ

ทำไมต้องงดน้ำงดอาหารก่อนตรวจสุขภาพ

ทำไมต้องงดน้ำงดอาหารก่อนตรวจสุขภาพ การตรวจเลือด สามารถวินิจฉัยโรคบางชนิดที่ไม่สามารถวิเคราะห์ได้จากการซักประวัติ หรือโรคที่ไม่มีอาการแสดงออกมา ผลการตรวจเลือดจึงต้องการความชัดเจนและถูกต้องที่สุด แต่สารอาหารและสารจากเครื่องดื่มต่างๆ ที่เรารับประทานเข้าไปนั้นย่อมเข้าสู่กระแสเลือด และอาจทำให้ผลเลือดมีความแปรปรวนจากความเป็นจริงได้ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่เราจะต้องงดอาหารและเครื่องดื่มก่อนการตรวจเลือดในการตรวจค่าบางอย่าง เพื่อให้ผลเลือดมีความแม่นยำที่สุด เตรียมตัวให้พร้อม...ก่อนตรวจเลือด ตรวจระดับน้ำตาลในเลือด งดอาหาร เครื่องดื่ม ขนมขบเคี้ยว ลูกอม หมากฝรั่งทุกชนิด ไม่น้อยกว่า 8 ชั่วโมงก่อนการเจาะเลือด แต่สามารถดื่มน้ำเปล่าได้ ตรวจไขมันในเลือด ต้องงดอาหาร เครื่องดื่ม ของขบเคี้ยว ลูกอม หมากฝรั่งทุกชนิด อย่างน้อย 10-12 ชั่วโมง แต่สามารถดื่มน้ำเปล่าได้เช่นกัน และการตรวจไขมันไตรกลีเซอไรด์ (Triglycerides) และไขมันชนิดไม่ดี (LDL) ควรงดเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ก่อนเจาะเลือด 3 วันด้ว ตรวจระดับธาตุเหล็กในเลือด โดยทั่วไปไม่จำเป็นต้องงดน้ำ งดอาหารก่อนตรวจ แต่แพทย์อาจพิจารณาเป็นรายบุคคลว่าควรเตรียมตัวอย่างไร เนื่องจากผู้ที่ได้รับยาบางชนิดอยู่ก่อน อาจมีผลต่อค่า Serum Iron ที่สูงหรือต่ำกว่าความเป็นจริงได้ การตรวจการทำงานของไต (BUN, Creatinine) ไม่จำเป็นต้องงดน้ำ งดอาหารก่อนตรวจ แต่ควรลดอาหารประเภทเนื้อแดงให้น้อยลง 2-3 วัน ก่อนตรวจ นอกจาก “การงดน้ำ งดอาหาร” แล้ว ยังมีพฤติกรรมบางอย่างที่ควรเลี่ยงก่อนเข้ารับการตรวจเลือดด้วย เช่น การดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ การสูบบุหรี่ เคี้ยวหมากฝรั่ง ออกกำลังกาย หากผู้เข้ารับการตรวจเลือด ทำอย่างใดอย่างหนึ่งหรือหลายอย่างตามข้อข้างต้นนี้ ต้องแจ้งข้อมูลให้แพทย์ทราบตามจริง ซึ่งแพทย์อาจจะนัดเจาะเลือดเพื่อตรวจใหม่ภายหลังเมื่อปฏิบัติตนอย่างถูกต้องก่อนเข้ารับการตรวจเลือดเพราะผลของการตรวจเลือด เป็นส่วนสำคัญที่สามารถนำมาประกอบคำวินิจฉัยเพื่อหาสาเหตุของโรค หรือหาแนวทางการรักษาโรคได้ ทั้งนี้ก็เพื่อประโยชน์ของคนไข้เอง ขอขอบคุณข้อมูลจาก : ฺBDMS สถานีสุขภาพ

การเตรียมตัวตรวจสุขภาพ

การเตรียมตัวตรวจสุขภาพ

สำหรับการเตรียมตัวก่อนการตรวจสุขภาพ 1. งดอาหาร เครื่องดื่มทุกชนิด ลูกอม หมากฝรั่ง อย่างน้อย 12 ชม. และงดน้ำเปล่าอย่างน้อย 8 ชม.ก่อนการตรวจ 2. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่ควรอดนอน 3. สวมเสื้อที่สะดวกต่อการเจาะเลือดที่ข้อพับแขนและการตรวจร่างกาย 4. สำหรับสุภาพสตรีไม่ควรอยู่ในช่วงก่อน / หลังมีประจำเดือน 7 วัน 5. สำหรับสุภาพสตรีกรณีสงสัยว่าตั้งครรภ์ โปรดแจ้งเจ้าหน้าที่ให้ทราบก่อนการตรวจ ***กรณีมีรายการตรวจพิเศษอื่น ๆ เพิ่ม อาจมีแนวทางการเตรียมตัวที่มากกว่ารายละเอียดข้างต้น ดังนั้นผู้รับบริการควรปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่หรือเอกสาร เพื่อให้ได้มาซึ่งผลการตรวจที่แม่นยำที่สุด สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ศุนย์ส่งเสริมสุขภาพ โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี 039-319888

ใบรับรองแพทย์ 5 โรค

ใบรับรองแพทย์ 5 โรค

จากกรณีที่ ราชกิจจานุเบกษา แพร่ “กฎ ก.พ.ว่าด้วยโรค 2566”กำหนด "4 โรคห้ามเข้ารับราชการ" ชวนรู้จักใบรับรองแพทย์ 5 โรค ที่เป็นพื้นฐานของหลายบริษัท สถานศึกษา และงานราชการ ต้องคัดกรองสุขภาพเบื้องต้น 5 โรคมีอะไรบ้าง ? จากกรณีที่18 สิงหาคม 2566 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ประกาศ “กฎ ก.พ.ว่าด้วยโรค พ.ศ. 2566” 4 โรคต้องห้ามรับราชการที่ประกอบด้วย โรคเท้าช้างในระยะที่ปรากฎอาการเป็นที่รังเกียจแก่สังคม โรคติดยาเสพติดให้โทษ โรคพิษสุราเรื้อรัง โรคติดต่อร้ายแรงหรือโรคเรื้อรังที่ปรากฏอาการเด่นชัดหรือรุนแรง และเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติงานในหน้าที่ (ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการแพทย์ ของ ก.พ. กำหนด) เพื่อให้ทางราชการได้มาและรักษาไว้ซึ่งบุคคลที่เป็นผู้มีสุขภาพทางกายและจิตเหมาะสม และไม่เป็นโรคร้ายแรงที่เป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติหน้าที่ราชการ ทั้งนี้เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2565 ได้มีการยกเลิก “โรควัณโรคในระยะแพร่กระจายเชื้อ” ออกจากลักษณะต้องห้ามของผู้ที่จะเข้ารับราชการพลเรือน เนื่องจากโรควัณโรคมีแนวโน้มที่ลดลงและใช้เวลาในการรักษาประมาณ 2 สัปดาห์ ก็สามารถหายได้ ชวนรู้จักคัดกรองขอใบรับรองแพทย์ 5 โรค คืออะไร ? การเข้าทำงานเป็นพนักงานหรือเข้าศึกษาในสถาบันหลายแห่ง จำเป็นต้องผ่านการตรวจโรคหรือตรวจร่างกายหลายอย่างเพราะการมีสุขภาพที่ดีและไม่มีโรคติดต่อร้ายแรงเป็นหนึ่งในคุณสมบัติที่มักมีกำหนดไว้ ดังนั้น เมื่อเราผ่านการคัดเลือกแล้ว ทางต้นสังกัดจะให้เราไปตรวจร่างกายตามสถานพยาบาลที่เชื่อถือได้ หากผู้เข้ารับการตรวจมาพร้อมกับแบบฟอร์มที่มีรายการตรวจจากต้นสังกัดว่าต้องการผลตรวจอะไรบ้าง? ก็จะทำให้แพทย์ตรวจได้ตรงตามความต้องการ แต่ผู้เข้ารับการตรวจบางท่านก็ทราบเพียงแต่ว่า ต้องการตรวจสุขภาพเพื่อให้ได้ “ใบรับรองแพทย์ 5 โรค” ส่วน 5 โรคที่ว่านั้นจะมีโรคอะไรบ้าง? แล้วทำไมต้องตรวจ 5 โรคนี้ ผู้เข้ารับการตรวจอาจจะยังไม่ทราบโดยทั่วไปแล้วจะประกอบด้วย 5 โรค ดังนี้ วัณโรคในระยะแพร่เชื้อ โรคเท้าช้าง โรคที่เกิดจากสารเสพติด โรคพิษสุราเรื้อรัง โรคอื่นๆ ที่เรื้อรัง ร้ายแรง หรือมีอาการแสดงอย่างชัดเจนจนเป็นอุปสรรคต่อทำงานหรือการเรียน มาตรฐานของการตรวจสุขภาพเพื่อขอใบรับรองแพทย์ 5 โรค ? การตรวจ 5 โรคตามที่กล่าวมานั้น แพทย์สามารถตรวจและวินิจฉัยได้ด้วยการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และดูอาการเบื้องต้น โดยไม่จำเป็นต้องเจาะเลือดหรือตรวจปัสสาวะเลย แต่ในบางรายหากต้นสังกัดระบุมาว่า ต้องการผลเลือด ผลปัสสาวะ หรือผลการเอกซเรย์ใดๆ เพื่อยืนยันว่าผู้เข้ารับการตรวจมีสุขภาพอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม การตรวจก็อาจจะแตกต่างไป ดังนั้น การตรวจสุขภาพจึงอยู่ที่ต้นสังกัดว่ามีวัตถุประสงค์อย่างไรและต้องการตรวจอะไรบ้าง ละเอียดแค่ไหน? เพื่อจะได้ตรวจให้ครบถ้วนและมีใบแจ้งผลที่สมบูรณ์ สามารถนำไปใช้ประกอบการเข้าทำงานสถานประกอบการ รับราชการหรือการศึกษาต่อได้ ขอบคุณข้อมูลจาก : BDMS สถานีสุขภาพ

วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี

วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี

วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี ไวรัสตับอักเสบบี เป็นอีกสาเหตุสำคัญที่ก่อโรคตับอักเสบเรื้อรัง ตับแข็ง และมะเร็งตับ ในประเทศไทยและทั่วโลก ซึ่งปัจจุบันมีวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันการติดเชื้อไวรัตับอักเสบบีนี้ ซึ่งจะฉีดทั้งหมด 4 ครั้ง ในทารกที่ฉีดตั้งแรกเกิด และในวัยอื่นๆโดยทั่วไปฉีดทั้งหมด 3 เข็ม ดังนี้ เริ่มฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบบีเข็มแรก เมื่อพบแพทย์ตรวจแล้วว่าไม่มีภูมิคุ้มกันและแพทย์พิจารณาแล้วว่าควรได้รับวัคซีนนี้ วัคซีนเข็มที่ 2 ห่างจากเข็มแรก 1 เดือน วัคซีนเข็มที่ 3 ห่างจากเข็มแรก 6 เดือน กลุ่มที่แนะนำให้ได้รับวัคซีนไวรัสอับอักเสบบี ทารกแรกเกิดทุกราย ทุคนที่ยังไม่มีภูมิคุ้มกันไวรัสตับอักเสบบี ผู้ดูแลหรือผู้ใกล้ชิดผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี บุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการในโรงพยาบาล ผู้ที่ได้รับการฟอกไต ผู้ที่ต้องได้รับเลือดเป็นประจำ กลุ่มรักร่วมเพศ ผู้ที่ใช้สารเสพติดชนิดฉีดเข้าเส้นเลือด ผู้ที่ต้องเดินทางไปในพื้นที่เสี่ยง มีการระบาดของไวรัสตับอักเสบบี การตรวจเลือดก่อนฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี * เด็กแรกเกิดและเด็กเล็ก (อายุต่ำกว่า 10 ปี) ไม่จำเป็นต้องตรวจเลือดก่อนฉีดวัคซีน * เด็กโต (อายุ 10 ปีขึ้นไป) และผู้ใหญ่ ส่วนใหญ่จะเคยติดเชื้อมาแล้ว ซึ่งอาจมีภูมิคุ้มกันโรคแล้วตาม ธรรมชาติหรือเป็นพาหะ ซึ่งจะไม่ได้รับประโยชน์จากการฉีดวัคซีน ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงการฉีดวัคซีนโดยไม่จำเป็น ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเพื่อตรวจเลือดประกอบกับการพิจารณาว่าควรฉีดวัคซีนหรือไม่ วัคซีนนี้จะป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบบีได้หลังฉีด 10 วัน อาการข้างเคียงจากการได้รับวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี อาจมีอาการปวด บวม หรือมีไข้ต่ำๆ อาการมักเริ่มราว 3-4 ชั่วโมงหลังฉีด และเป็นอยู่ไม่เกิน 24 ชั่วโมง สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพ โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี 039-319888

ปอดอักเสบ ป้องกันได้ด้วยวัคซีน "นิวโมคอคคัส"

ปอดอักเสบ ป้องกันได้ด้วยวัคซีน "นิวโมคอคคัส"