SPOT-MAS การตรวจหาเซลล์มะเร็งในระยะเริ่มแรก

ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้มีผู้ป่วยมะเร็งใหม่กว่า 1.7 ล้านคนต่อปี โดยกว่าร้อยละ 70 ตรวจพบมะเร็งในระยะที่รักษายาก การตรวจพบมะเร็งในระยะแรกช่วยเพิ่มอัตราการรอดชีวิตถึง 90-95% ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกคาดว่าอัตราการเสียชีวิตจากมะเร็งจะสูงขึ้นเป็น 45% ในปี 2573 ซึ่งหมายความว่าผู้ป่วยจำนวนมากจะต้องเผชิญกับความท้าทายในการรักษาที่มีค่าใช้จ่ายสูงและผลลัพธ์ที่ไม่แน่นอน เนื่องจากการตรวจพบในระยะหลังทำให้การรักษาเป็นเรื่องที่ยากขึ้นและส่งผลกระทบทางการเงินต่อผู้ป่วยและครอบครัวอย่างมาก

SPOT-MAS เป็นวิธีการตรวจหามะเร็งในระยะเริ่มต้นที่ช่วยเพิ่มอัตราการรอดชีวิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ มะเร็งเกิดจากการกลายพันธุ์ การตรวจหาการกลายพันธุ์จะช่วยให้แพทย์สามารถเลือกวิธีการรักษาที่ดีที่สุดสำหรับผู้ป่วย การตรวจคัดกรองด้วย SPOT-MAS สามารถตรวจหาสารพันธุกรรมจากเซลล์มะเร็งที่ถูกปลดปล่อยออกมาในกระแสเลือด (Circulating Tumor DNA: ctDNA) โดยใช้เทคโนโลยี Next-generation sequencing ที่สามารถตรวจหาเซลล์มะเร็งหลายชนิดได้ในครั้งเดียว เพียงเจาะเลือดครั้งเดียว ซึ่งเป็นการพัฒนาที่สำคัญสำหรับประชากรในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้

SPOT-MAS สามารถตรวจหามะเร็งระยะแรกเริ่มได้ 5 ชนิด:

การตรวจเหล่านี้สามารถทำได้จากการเจาะเลือดเพียงครั้งเดียว ซึ่งช่วยลดความเครียดและความยุ่งยากในการเตรียมตัวสำหรับการตรวจ

การตรวจ SPOT-MAS มีข้อดีหลายประการ:

  • เป็นวิธีที่ง่ายและไม่เจ็บตัวมาก เนื่องจากเจาะเลือดเพียงครั้งเดียว

  • ไม่จำเป็นต้องใช้เนื้อเยื่อหรือรุกล้ำเข้าสู่ร่างกาย

  • มีความแม่นยำสูงถึง 95.9%

  • ผู้เข้ารับการตรวจสามารถทราบผลภายใน 30 วัน

ใครควรตรวจ SPOT-MAS?:

  • SPOT-MAS สามารถคัดกรองได้เฉพาะผู้ที่ไม่เคยเป็นมะเร็งหรือไม่มีอาการต้องสงสัยว่าเป็นมะเร็ง

  • ผู้ที่มีอายุ 40 ปีขึ้นไป โดยเป็นช่วงอายุที่ WHO แนะนำให้มีการตรวจคัดกรองมะเร็ง เช่นเดียวกับการตรวจสุขภาพประจำปี แม้ไม่มีอาการใด ๆ เพื่อค้นหาความผิดปกติของเซลล์ระยะเริ่มต้น เพราะเป็นวัยที่มีความเสี่ยงมะเร็งชนิดต่าง ๆ

  • ผู้ที่มีประวัติคนในครอบครัวเป็นมะเร็ง

  • ผู้ที่มีความเสี่ยงสูงในการเป็นโรคมะเร็ง เช่น สูบบุหรี่จัด ดื่มแอลกอฮอล์เป็นประจำ ผู้ที่สัมผัสสารก่อมะเร็งหรืออยู่ในพื้นที่ที่เสี่ยงต่อการเป็นมะเร็ง อาทิ ฝุ่น PM2.5

  • ผู้ที่ต้องการตรวจคัดกรองโรคมะเร็ง โดยสามารถตรวจได้ตั้งแต่อายุ 18 ปีขึ้นไป

สัญญาณและอาการที่สงสัยว่าจะเป็นโรคมะเร็ง: ผู้ที่มีอาการดังต่อไปนี้ไม่ควรเข้ารับการตรวจ SPOT-MAS:

  • น้ำหนักลดลงอย่างรวดเร็วอย่างน้อย 6 กิโลกรัมใน 6 เดือน โดยไม่ทราบสาเหตุ

  • มีอาการปวดท้องบริเวณชายโครงด้านขวาเป็นเวลานาน และปวดบริเวณลิ้นปี่ ซึ่งรักษาด้วยยาแล้วไม่ได้ผล

  • มีอาการไอต่อเนื่องเป็นระยะเวลามากกว่า 3 สัปดาห์ ซึ่งรักษาด้วยยาแล้วไม่ได้ผล

  • มีเลือดออกผิดปกติหรือมีของเหลวออกมาจากหัวนม

  • การทำงานของลำไส้มีความผิดปกติเป็นระยะเวลา 3 สัปดาห์ขึ้นไป เช่น ท้องเสีย ท้องผูก อุจจาระเป็นเลือด เป็นต้น

การตรวจหาสารพันธุกรรมของเซลล์มะเร็งอาจไม่สามารถบอกได้ร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าจะเกิดโรคมะเร็งกับผู้เข้ารับการตรวจหรือไม่ แต่สามารถระบุระดับความเสี่ยงได้ ซึ่งจะช่วยให้ผู้เข้ารับการตรวจสามารถวางแผนการดำเนินชีวิตเพื่อลดปัจจัยเสี่ยงที่อาจก่อให้เกิดโรคมะเร็ง และลดค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลในอนาคตได้.

สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพ โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี 039-319888

บทความที่เกี่ยวข้อง

ปอดอักเสบ ป้องกันได้ด้วยวัคซีน "นิวโมคอคคัส"

ปอดอักเสบ ป้องกันได้ด้วยวัคซีน "นิวโมคอคคัส"

การเตรียมตัวตรวจสุขภาพ

การเตรียมตัวตรวจสุขภาพ

สำหรับการเตรียมตัวก่อนการตรวจสุขภาพ 1. งดอาหาร เครื่องดื่มทุกชนิด ลูกอม หมากฝรั่ง อย่างน้อย 12 ชม. และงดน้ำเปล่าอย่างน้อย 8 ชม.ก่อนการตรวจ 2. นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ ไม่ควรอดนอน 3. สวมเสื้อที่สะดวกต่อการเจาะเลือดที่ข้อพับแขนและการตรวจร่างกาย 4. สำหรับสุภาพสตรีไม่ควรอยู่ในช่วงก่อน / หลังมีประจำเดือน 7 วัน 5. สำหรับสุภาพสตรีกรณีสงสัยว่าตั้งครรภ์ โปรดแจ้งเจ้าหน้าที่ให้ทราบก่อนการตรวจ ***กรณีมีรายการตรวจพิเศษอื่น ๆ เพิ่ม อาจมีแนวทางการเตรียมตัวที่มากกว่ารายละเอียดข้างต้น ดังนั้นผู้รับบริการควรปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่หรือเอกสาร เพื่อให้ได้มาซึ่งผลการตรวจที่แม่นยำที่สุด สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ศุนย์ส่งเสริมสุขภาพ โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี 039-319888

วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี

วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี

วัคซีนป้องกันไวรัสตับอักเสบบี ไวรัสตับอักเสบบี เป็นอีกสาเหตุสำคัญที่ก่อโรคตับอักเสบเรื้อรัง ตับแข็ง และมะเร็งตับ ในประเทศไทยและทั่วโลก ซึ่งปัจจุบันมีวัคซีนที่มีประสิทธิภาพสูงในการป้องกันการติดเชื้อไวรัตับอักเสบบีนี้ ซึ่งจะฉีดทั้งหมด 4 ครั้ง ในทารกที่ฉีดตั้งแรกเกิด และในวัยอื่นๆโดยทั่วไปฉีดทั้งหมด 3 เข็ม ดังนี้ เริ่มฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบบีเข็มแรก เมื่อพบแพทย์ตรวจแล้วว่าไม่มีภูมิคุ้มกันและแพทย์พิจารณาแล้วว่าควรได้รับวัคซีนนี้ วัคซีนเข็มที่ 2 ห่างจากเข็มแรก 1 เดือน วัคซีนเข็มที่ 3 ห่างจากเข็มแรก 6 เดือน กลุ่มที่แนะนำให้ได้รับวัคซีนไวรัสอับอักเสบบี ทารกแรกเกิดทุกราย ทุคนที่ยังไม่มีภูมิคุ้มกันไวรัสตับอักเสบบี ผู้ดูแลหรือผู้ใกล้ชิดผู้ป่วยติดเชื้อไวรัสตับอักเสบบี บุคลากรทางการแพทย์ เจ้าหน้าที่ปฏิบัติการในโรงพยาบาล ผู้ที่ได้รับการฟอกไต ผู้ที่ต้องได้รับเลือดเป็นประจำ กลุ่มรักร่วมเพศ ผู้ที่ใช้สารเสพติดชนิดฉีดเข้าเส้นเลือด ผู้ที่ต้องเดินทางไปในพื้นที่เสี่ยง มีการระบาดของไวรัสตับอักเสบบี การตรวจเลือดก่อนฉีดวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี * เด็กแรกเกิดและเด็กเล็ก (อายุต่ำกว่า 10 ปี) ไม่จำเป็นต้องตรวจเลือดก่อนฉีดวัคซีน * เด็กโต (อายุ 10 ปีขึ้นไป) และผู้ใหญ่ ส่วนใหญ่จะเคยติดเชื้อมาแล้ว ซึ่งอาจมีภูมิคุ้มกันโรคแล้วตาม ธรรมชาติหรือเป็นพาหะ ซึ่งจะไม่ได้รับประโยชน์จากการฉีดวัคซีน ดังนั้นเพื่อหลีกเลี่ยงการฉีดวัคซีนโดยไม่จำเป็น ควรปรึกษาแพทย์ก่อนเพื่อตรวจเลือดประกอบกับการพิจารณาว่าควรฉีดวัคซีนหรือไม่ วัคซีนนี้จะป้องกันโรคไวรัสตับอักเสบบีได้หลังฉีด 10 วัน อาการข้างเคียงจากการได้รับวัคซีนไวรัสตับอักเสบบี อาจมีอาการปวด บวม หรือมีไข้ต่ำๆ อาการมักเริ่มราว 3-4 ชั่วโมงหลังฉีด และเป็นอยู่ไม่เกิน 24 ชั่วโมง สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์ส่งเสริมสุขภาพ โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี 039-319888

วัคซีนปอดอักเสบสำหรับผู้สูงอายุ

วัคซีนปอดอักเสบสำหรับผู้สูงอายุ

วัคซีนปอดอักเสบ ปรับราคา เริ่มตั้งแต่วันนี้ - 31 ธันวามคม 67 นี้ วัคซีนปอดอักเสบ (IPD) ชนิด 13 สายพันธุ์ ราคา 2,650 บาท (จากปกติ 3,300 บาท) วัคซีนปอดอักเสบ (IPD) ชนิด 23 สายพันธุ์ ราคา 1,900 บาท (จากปกติ 2,300 บาท) โรคปอดอักเสบเกิดขึ้นได้กับทุกคนโดยเฉพาะในเด็กเล็กและผู้สูงอายุ แต่กับผู้สูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) ที่มีภูมิต้านทานที่ลดลง มีโรคประจำตัว ทำให้เสี่ยงต่อการเกิดโรคได้มากขึ้น นอกจากนี้ยังพบว่ามีผู้สูงอายุเสียชีวิตเป็นจำนวนมาก เนื่องจากเป็นการติดเชื้อที่พบบ่อยที่สุด และยังเป็นสาเหตุของการเสียชีวิตเป็นอันดับ 4 ในผู้ที่มีอายุ 80 ปีขึ้นไป ทั้งนี้ยังมีผู้สูงอายุอีกจำนวนไม่น้อยที่มีความเสี่ยงต่อภาวะแทรกซ้อนจากโรคปอดอักเสบ ทั้งภาวะแทรกซ้อนที่เกิดจากการติดเชื้อในกระแสเลือด หรือระบบทางเดินหายใจล้มเหลว ดูแลตัวเองไม่ให้เป็นโรคปอดอักเสบ นอกจากการพาผู้สูงอายุเข้ารับวัคซีนปอดอักเสบ เพื่อป้องกันและลดความรุนแรงของโรค ที่ช่วยลดโอกาสเสี่ยงจากการเสียชีวิตที่เกิดจากโรคปอดอักเสบได้แล้ว การดูแลตัวเองด้วยวิธีเหล่านี้ จะช่วยให้ผู้สูงอายุมีสุขภาพแข็งแรง ไม่เสี่ยงต่อโรคและความเจ็บป่วยจากโรคปอดอักเสบอีกด้วย นัดหมายแพทย์ คลิก https://doctor.bangkokhospitalchanthaburi.com/alldoctor.php

วัคซีนสำหรับผู้สูงอายุ

วัคซีนสำหรับผู้สูงอายุ

คำแนะนำการฉีดวัคซีนป้องกันโรคสำหรับผู้สูงอายุ ปัจจุบัน ประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างสมบูรณ์ ฉะนั้นจึงต้องมีการดูแลเอาใจใส่สุขภาพของผู้สูงวัยเหล่านี้ให้มากขึ้น ด้วยอายุที่เพิ่มขึ้นทำให้ภูมิคุ้มกันของผู้สูงอายุต่ำกว่าคนในวัยหนุ่มสาว ความต้านทานต่อเชื้อโรคต่างๆ ลดลง ทำให้ผู้สูงอายุมีโอกาสเกิดโรคติดเชื้อ หรือเกิดภาวะแทรกซ้อนได้ง่าย สิ่งที่จะทำให้สุขภาพของผู้สูงอายุแข็งแรงกว่าเดิมคือการฉีดวัคซีน ดังนั้นในผู้สูงอายุ จึงมีความจำเป็นจะต้องได้รับวัคซีนเพื่อป้องกันการเจ็บป่วยที่รุนแรง วัคซีนที่แนะนำในผู้สูงอายุ ได้แก่ 1.วัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ 2.วัคซีนป้องกันโรคนิวโมคอคคัส 3.วัคซีนป้องกันโควิด -19 4.วัคซีนป้องกันคอตีบ บาดทะยัก ไอกรน 5.วัคซีนป้องกันโรคงูสวัด วัคซีนคืออะไร (What is a vaccine ) คือสารชนิดหนึ่ง ชีววัตถุหรือแอนติเจนซึ่งผลิตมาจากเชื้อโรคหรือพิษของเชื้อโรคถูกที่ทำให้ไม่สามารถก่อโรค เมื่อฉีดเข้าไปในร่างกายแล้ว ร่างกายสามารถสร้างภูมิคุมกันป้องกันกับโรคนั้นๆได้ 1.วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ (Influenza vaccine) โรคไข้หวัดใหญ่เกิดจากเชื้อไวรัสอินฟลูเอนซา (Influenza virus) พบบ่อยในฤดูฝน (มิถุนายน-ตุลาคม) และฤดูหนาว (มกราคม-มีนาคม) เป็นโรคติดเชื้อต่อระบบทางเดินหายใจ อาการของโรคจะมีตั้งแต่อาการเล็กน้อย เช่น ไข้ ไอ น้ำมูก เจ็บคอ คัดจมูก ปวดเมื่อยกล้ามเนื้อ ครั่นเนื้อครั่นตัว อ่อนเพลีย ปวดศรีษะ จนถึงอาการที่รุนแรง ปอดบวมและภาวะแทรกซ้อนถึงขั้นต้องนอนรักษาที่โรงพยาบาล และเสียชีวิต โดยเฉพาะในกลุ่มเสี่ยง กลุ่มเสี่ยงที่ควรฉีดวัคซีน 1.เด็กเล็กอายุตั้งแต่ 6 เดือนถึง 2 ปี 2.ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไป 3.ผู้หญิงตั้งครรภ์ 4.ผู้ป่วยโรคเรื้อรัง ได้แก่ โรคหัวใจ โรคปอดอุดกั้น โรคเบาหวาน โรคไต หลอดเลือดสมอง โรคธาลัสซีเมีย ผู้ป่วยมะเร็งที่อยู่ระหว่างได้รับเคมีบำบัด ผู้พิการทางสมองที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ผู้ที่มีภูมิคุ้มกันบกพร่อง และผู้ป่วยเอชไอวี 5.ผู้ที่มีน้ำหนักตั้งแต่ 100กิโลกรัมขึ้นไป หรือมีดัชนีมวลกาย (BMI) ตั้งแต่ 35 กิโลกรัมต่อตารางเมตร วิธีป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ 1.ใส่หน้ากากอนามัย 2.หมั่นล้างมือให้สะอาดด้วยน้ำสบู่ 3.หลีกเลี่ยงใกล้ชิดสัมผัสกับผู้ป่วยไข้หวัดใหญ่ 4.ไม่ใช้ของใช้ร่วมกับผู้อื่น เช่นแก้วน้ำ ช้อนอาหาร หลอดดูดน้ำ เป็นต้น 5.หลีกเลี่ยงการอยู่ในที่ชุมชนแออัดอากาศถ่ายเทไม่สะดวก 6.หลีกเลี่ยงการใช้มือสัมผัสบริเวณจมูก ปาก ดวงตา เพราะช่องทางเหล่านี้สามารนำเชื้อเข้าสู่ร่างกายได้ 7.รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ พักผ่อนให้เพียงพอ และออกกำลังกายสม่ำเสมอ 8.ฉีดวัคซีนป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่ปีละครั้ง เป็นวิธีป้องกันที่มีประสิทธิภาพมากในการป้องกันโรคไข้หวัดใหญ่รวมถึงลดโอกาสที่จะต้องนอนรักษาที่โรงพยาบาล ลดอาการแทรกซ้อนที่รุนแรงที่เกิดจากโรคไข้หวัดใหญ่ได้ ในผู้สูงอายุที่ป่วยด้วยไข้หวัดใหญ่มีโอกาสที่จะเกิดหลอดลมอักเสบปอดอักเสบที่รุนแรง หรือเกิดการติดเชื้อแบคทีเรียแทรกซ้อนนำไปสู่การเสียชีวิคที่รุนแรงได้ ดังนั้นจึงมีคำแนะนำให้ผู้สูงอายุรับวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง โดยเฉพาะในช่วงก่อนฤดูฝน คือช่วงเดือนพฤษภาคม ในช่วงของฤดูหนาวคือช่วงเดือนตุลาคม การฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่ประจำปี ไม่จำเป็นต้องรอให้ครบ 1 ปีสามารถฉีดได้เลยโดยมีระยะห่างจากโดสก่อนอย่างน้อย 6 เดือน แม้การฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่จะไม่สามารถป้องกันการติดเชื้อได้ทั้งหมด แต่จะช่วยลดความรุนแรงของโรคและป้องกันภาวะแทรกซ้อนได้ ผลข้างเคียงของการฉีดวัคซีนที่พบได้คืออาการปวด บวม แดง ร้อนในบริเวณที่ฉีดมักจะมีอาการเล็กน้อย บางรายอาจจะมีไข้ต่ำๆ ส่วนใหญ่อาการเหล่านี้จะหายไปภายใน 2-3 วัน 2.วัคซีนป้องกันโรคนิวโมคอคคัส (Pneumococcal vacine) โรคนิวโมคอคคัสเกิดจากเชื้อแบคทีเรียที่เรียกว่าเชื้อ Streptococcus ติดต่อโดยการหายใจเอาเชื้อที่อยู่ในอากาศซึ่งมาจากผู้ป่วยที่ไอ จามเป็นสาเหตุที่สำคัญของการติดเชื้อ ในผู้สูงอายุที่ติดเชื้อตัวนี้จะมีโอกาสเกิดอาการที่รุนแรงหรือภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงได้ เช่นเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ติดเชื้อในกระแสเลือด ปอดบวม ปอดอักเสบ ซึ่งนำไปสู่การเสียชีวิตได้ แม้จะได้รับยาปฏิชีวนะแล้วก็ตามวัคซีนชนิดนี้จะช่วยลดโอกาสการเกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรงเหล่านั้นได้ ปัจจุบันวัคซีนป้องกันโรคนิวโมคอคคัสจะมี 2 ชนิด คือชนิด conjugate แบบ 13 สายพันธ์ และ Polysaccharide แบบ 23 สายพันธ์ สำหรับคำแนะนำให้ผู้สูงอายุ 65 ปีขึ้นไปฉีดวัคซีนชนิด conjugate 13 สายพนธ์ก่อน แล้วตามด้วยชนิด Polysaccharide 23 สายพันธ์ โดยเว้นระยะห่าง ตั้งแต่ 2 เดือนถึง 1 ปี แต่ถ้าห่างผู้สูงอายุเหล่านั้นมีโรคประจำตัว เช่นเบาหวาน โรคไต หรือประวัติสูบบุหรี่ สามารถที่จะฉีดวัคซีนก่อนอายุ 65 ปีได้ ผลข้างเคียงของวัคซีน อาจจะพบอาการ ปวด บวม แดง ร้อนยริเวณที่ฉีดได้ หรืออาจจะมีไข้ ปวดศรีษะได้เล็กน้อย แต่อาการเหล่านนั้นจะหายไปภายใน 2-3 วิธี 3.วัคซีนป้องกันโควิด-19 เป็นโรคอุบัติใหม่ เกิดจากการติดเชื้อไวรัสชื่อว่า SARS-COV-2 โรคนี้จะก่อให้เกิดภาวะแทรกซ้อนที่รุนแรง จนถึงขั้นเสียชีวิตได้ โดยเฉพาะในกลุ่มของผู้สูงอายุและผู้ที่มีโรคประจำตัว เพื่อที่จะลดความรุนแรงของโรคลง ปัจจุบันมีวัคซีนป้องกันโควิด-19 หากผู้สูงอายุท่านใดยังไม่เคยฉีดวัคซีนป้องกันโควิด-19แม้แต่เข็มเดียวก็ขอให้รีบติดต่อสถานพยาบาลหรือสถานบริการสาธารณสุขใกล้บ้าน เพื่อรับวัคซีนเข็มแรกให้เร็วที่สุด เพื่อลดอัตราการเสียชีวิตหรือโอกาสเกิดโรครุนแรงได 4.วัคซีนป้องกันโรคคอตีบ บาดทะยัก ไอกรน (Td และ Tdap Vaccine) โรค บาดทะยัก คอตีบ ไอกรนเกิดจากเชื้อแบคทีเรียคนละชนิด คอตีบและไอกรนส่วนใหญ่จะพบในเด็ก ทำให้เกิดการติดเชื้อของระบบทางเดินหายใจ โรคคอตีบ ทำให้ลำคออักเสบรุนแรง เกิดเป็นพังผืดอุดกั้นทางเดินหายใจ โรคไอกรน ทำให้เกิดการอักเสบของเยื่อบุทางเดินหายใจ ทำให้มีอาการไอมาก ไอเป็นชุดๆและนาน ผู้สูงอายุมีโอกาสที่จะรับเชื้อจากเด็กที่ป่วยโดยการไอ จามรดใบหน้า และพูดคุยกันในระยะใกล้ชิด ผู้สูงอายุซึ่งเคยฉีดวัคซีนชนิดนี้แล้วในอดีต ระดับภูมิคุ้มกันในปัจจุบันที่เหลืออยู่ไม่มากพอที่จะป้องกันโรคได้ โรคบาดทะยักเกิดจากการเชื้อแบคทีเรีย ชื่อ คลอสทริเดียม เตตตาไน (Clostridium tetani) สามารถเกิดได้กับทุกคน ทุกเพศ ทุกวัย สปอร์ของเชื้อพบได้ในสิ่งแวดล้อมทั่วไป ไม่ว่าจะเป็นพื้นดิน พื้นหญ้า เชื้อจะเข้าสู่ร่างกายทางบาดแผล โดยเฉพาะบาดแผลที่เจาะลึกเข้าไปในผิวหนัง เช่น ตะปูตำ เสี้ยนตำ เมื่อรับเชื้อเข้าไปแล้ว ผู้ป่วยจะมีอาการเกร็งของกล้ามเนื้อ ขากรรไกรแข็ง อ้าปากไม่ได้ คอแข็ง หลังเกร็ง แขนขาเกร็ง หากมีอาการรุนแรง อาจทำให้ระบบทางเดินหายใจล้มเหลวจนเสียชีวิตได้ สำหรับวัคซีนชนิดรวมป้องกันคอตีบ บาดทะยัก ไอกรนเป็นวัคซีนพื้นฐานที่เด็กไทยทุกคนต้องได้รับ ปริมาณของทอกซอยด์ของเชื้อคอตีบในวัคซีนชนิดรวมของเด็กจะแตกต่างกับวัคซีนชนิดรวมในผู้ใหญ่ ดังนั้นจะต้องฉีดวัคซีนให้ถูกชนิด ในเด็กจะเรียกว่าDTap แต่เมื่อเป็นผู้ใหญ่อายุเกิน 18 ปีขึ้นไปจะฉีดด้วย Tdap หลังจากนั้นทุก 10 ปี จะกระตุ้นด้วย Td สำหรับผู้สูงอายุ ที่ไม่เคยได้รับวัคซีนเข็มกระตุ้นมาก่อน หรือได้รับเข็มกระตุ้นมานานมากแล้ว ควรจะได้รับวัคซีน Tdap 1 เข็ม หลังจากนั้นทุก 10ปี ควรจะกระตุ้นด้วย Td หรือ Tdap ก็ได้ ผลข้างเคียงจากวัคซีน อาจจะมีบวมบริเวรที่ฉีด ปวดศรีษะ อ่อนเพลีย คลื่นไส้ อาเจียน ไข้ อาการมักไม่รุนแรง สามารถหายเองได้ภายใน 2-3 วัน 5.วัคซีนป้องกันโรคงูสวัด (Zoster vaccine) โรคงูสวัดเกิดจากการติดเชื้อไวรัส วาริเซลลา (Varicella virus) เป็นเชื้อไวรัสชนิดเดียวกับโรคสุกใส การติดเชื้อครั้งแรก จะทำให้เกิดโรคสุกใส เมื่อหายจากโรคสุกใสแล้วเชื้อไวรัสจะไปหลบอยู่ในปมประสาทของร่างกาย ระบบภูมิคุ้มกันลดลงเมื่ออายุมากขึ้น หรือได้รับยากดภูมิคุ้มกันต่างๆ เชื้อไวรัสสามารถหลบภูมิคุ้มกันของร่างกายออกมาในลักษณะตุ่มใส ทำให้เส้นประสาทอักเสบ เกิดการปวดตามแนวเส้นประสาท ซึ่งอาการปวดเกิดขึ้นได้ก่อนผื่นจะขึ้น เกิดในขณะผื่นขึ้น หรือหลังจากผื่นหายไปแล้ว เราเรียกอาการปวดนี้ว่า Post herpetic neuralgia อาการแทรกซ้อนอื่นๆที่พบในโรคนี้คือ การติดเชื้อบริเวณตา การติดชื้อบริเวณสมอง ปอดอักเสบ วัคซีนชนิดนี้ป้องกันอาการปวดและป้องกันโอกาสที่จะต้องนอนโรงพยาบาลได้ แนะนำให้ฉีดวัคซีนป้องกันงูสวัดให้ในผู้สูงอายุตั้งแต่ 60ปีขึ้นไป โดยไม่คำนึงถึงว่าเคยเป็นงูสวัดมาก่อนหรือว่าเคยเป็นอีสุกอีใสมาก่อน ไม่จำเป็นต้องตรวจว่ามีภูมิคุ้มกันโรค (Varicella IgG) หรือไม่ ในกรณีที่เคยเป็นงูสวัดมาก่อน สามารถให้วัคซีนงูสวัดได้ โดยเว้นระยะห่างหลังจากเป็นงูสวัดอย่างน้อย 6 เดือน หากอายุยังไม่ถึงเกณฑ์ที่จะต้องได้รับวัคซีนงูสวัด พิจารณาให้วัคซีนอีสุกอีใสก่อน ไม่แนะนำให้ฉีดวัคซีนงูสวัดเพื่อป้องกันโรคอีสุกอีใส ผลข้างเคียงของการฉีดวัคซีนคือ ปวด บวม บริเวณที่ฉีด ปวดศรีษะ ไข้ หนาวสั่น ปวดท้อง คลื่นไส้สามารถหายได้ภายใน 2-3 วัน ข้อมูลโดย แพทย์หญิงน้ำมณี มณีนิล สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี 039-319888

ใบรับรองแพทย์ 5 โรค

ใบรับรองแพทย์ 5 โรค

จากกรณีที่ ราชกิจจานุเบกษา แพร่ “กฎ ก.พ.ว่าด้วยโรค 2566”กำหนด "4 โรคห้ามเข้ารับราชการ" ชวนรู้จักใบรับรองแพทย์ 5 โรค ที่เป็นพื้นฐานของหลายบริษัท สถานศึกษา และงานราชการ ต้องคัดกรองสุขภาพเบื้องต้น 5 โรคมีอะไรบ้าง ? จากกรณีที่18 สิงหาคม 2566 เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ประกาศ “กฎ ก.พ.ว่าด้วยโรค พ.ศ. 2566” 4 โรคต้องห้ามรับราชการที่ประกอบด้วย โรคเท้าช้างในระยะที่ปรากฎอาการเป็นที่รังเกียจแก่สังคม โรคติดยาเสพติดให้โทษ โรคพิษสุราเรื้อรัง โรคติดต่อร้ายแรงหรือโรคเรื้อรังที่ปรากฏอาการเด่นชัดหรือรุนแรง และเป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติงานในหน้าที่ (ให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์และวิธีการที่คณะกรรมการแพทย์ ของ ก.พ. กำหนด) เพื่อให้ทางราชการได้มาและรักษาไว้ซึ่งบุคคลที่เป็นผู้มีสุขภาพทางกายและจิตเหมาะสม และไม่เป็นโรคร้ายแรงที่เป็นอุปสรรคต่อการปฏิบัติหน้าที่ราชการ ทั้งนี้เมื่อวันที่ 20 กันยายน 2565 ได้มีการยกเลิก “โรควัณโรคในระยะแพร่กระจายเชื้อ” ออกจากลักษณะต้องห้ามของผู้ที่จะเข้ารับราชการพลเรือน เนื่องจากโรควัณโรคมีแนวโน้มที่ลดลงและใช้เวลาในการรักษาประมาณ 2 สัปดาห์ ก็สามารถหายได้ ชวนรู้จักคัดกรองขอใบรับรองแพทย์ 5 โรค คืออะไร ? การเข้าทำงานเป็นพนักงานหรือเข้าศึกษาในสถาบันหลายแห่ง จำเป็นต้องผ่านการตรวจโรคหรือตรวจร่างกายหลายอย่างเพราะการมีสุขภาพที่ดีและไม่มีโรคติดต่อร้ายแรงเป็นหนึ่งในคุณสมบัติที่มักมีกำหนดไว้ ดังนั้น เมื่อเราผ่านการคัดเลือกแล้ว ทางต้นสังกัดจะให้เราไปตรวจร่างกายตามสถานพยาบาลที่เชื่อถือได้ หากผู้เข้ารับการตรวจมาพร้อมกับแบบฟอร์มที่มีรายการตรวจจากต้นสังกัดว่าต้องการผลตรวจอะไรบ้าง? ก็จะทำให้แพทย์ตรวจได้ตรงตามความต้องการ แต่ผู้เข้ารับการตรวจบางท่านก็ทราบเพียงแต่ว่า ต้องการตรวจสุขภาพเพื่อให้ได้ “ใบรับรองแพทย์ 5 โรค” ส่วน 5 โรคที่ว่านั้นจะมีโรคอะไรบ้าง? แล้วทำไมต้องตรวจ 5 โรคนี้ ผู้เข้ารับการตรวจอาจจะยังไม่ทราบโดยทั่วไปแล้วจะประกอบด้วย 5 โรค ดังนี้ วัณโรคในระยะแพร่เชื้อ โรคเท้าช้าง โรคที่เกิดจากสารเสพติด โรคพิษสุราเรื้อรัง โรคอื่นๆ ที่เรื้อรัง ร้ายแรง หรือมีอาการแสดงอย่างชัดเจนจนเป็นอุปสรรคต่อทำงานหรือการเรียน มาตรฐานของการตรวจสุขภาพเพื่อขอใบรับรองแพทย์ 5 โรค ? การตรวจ 5 โรคตามที่กล่าวมานั้น แพทย์สามารถตรวจและวินิจฉัยได้ด้วยการซักประวัติ ตรวจร่างกาย และดูอาการเบื้องต้น โดยไม่จำเป็นต้องเจาะเลือดหรือตรวจปัสสาวะเลย แต่ในบางรายหากต้นสังกัดระบุมาว่า ต้องการผลเลือด ผลปัสสาวะ หรือผลการเอกซเรย์ใดๆ เพื่อยืนยันว่าผู้เข้ารับการตรวจมีสุขภาพอยู่ในเกณฑ์ที่เหมาะสม การตรวจก็อาจจะแตกต่างไป ดังนั้น การตรวจสุขภาพจึงอยู่ที่ต้นสังกัดว่ามีวัตถุประสงค์อย่างไรและต้องการตรวจอะไรบ้าง ละเอียดแค่ไหน? เพื่อจะได้ตรวจให้ครบถ้วนและมีใบแจ้งผลที่สมบูรณ์ สามารถนำไปใช้ประกอบการเข้าทำงานสถานประกอบการ รับราชการหรือการศึกษาต่อได้ ขอบคุณข้อมูลจาก : BDMS สถานีสุขภาพ

Hospital Logo

ติดต่อสอบถามเจ้าหน้าที่

บริการให้คำปรึกษาตลอด 24 ชั่วโมง