ท้องเสีย (Diarrhea / Gastroenteritis)

ท้องเสีย (Diarrhea / Gastroenteritis)

ท้องเสีย หรือที่หลายท่านเรียก ท้องร่วง ท้องเดิน นั้น หมายถึง ภาวะที่ผู้ป่วยมีอาการถ่ายเหลวมากกว่าวัลละ 3 ครั้ง แต่หากมีมูกหรือมีมูกปนเลือดเพียงครั้งเดียวก็ถือว่าเป็นท้องเสีย

ท้องเสียมีสาเหตุหลายประการ ดังนี้

  1. การติดเชื้อ โดยเฉพาะเชื้อไวรัส

  2. สารพิษที่ปนเปื้อนในอาหาร

  3. สารเคมี เช่น สารตะกั่ว สารหนู ไนเทรต ยาฆ่าแมลง

  4. ยา เช่น ยาถ่าย , แอมพิซิลิน , เตตราซัยคลีน พีเอเอส

  5. พืชพิษ เช่น เห็ดพิษ , กลอย

ภาวะแทรกซ้อนสำคัญเมื่อท้องเสีย

ภาวะขาดน้ำ และเกลือแร่ ซึ่งอาจทำให้เกิดภาวะช็อก , ภาวะเลือดเป็นกรด , ภาวะโพแทสเซียมในเลือดต่ำ , ภาวะโซเดียมในเลือดต่ำ เป็นอันตรายถึงตายได้

การรักษา

  1. ให้ผู้ป่วยรับประทานอาหารอ่อน ย่อยง่าย เช่น ข้าวต้ม โจ๊ก น้ำข้าว น้ำหวาน

  2. ให้น้ำเกลือ เพื่อเพิ่มสารน้ำในร่างกาย ป้องกันภาวะขาดสารน้ำ

  3. ให้ยารักษาอาการท้องเสีย ซึ่งจะใช้ในกรณีจำเป็นเท่านั้น เนื่องจากอาจเกิดโทษได้ จึงจำเป็นต้องให้แพทย์เป็นผู้พิจารณาการให้ยาเท่านั้น

  4. ให้ยาปฏิชีวนะ หรือยาฆ่าเชื้อ

การป้องกัน

  • ล้างมือก่อนรับประทานอาหาร และหลังเข้าห้องน้ำทุกครั้ง

  • รับประทานอาหารสุก สะอาด และดื่มน้ำที่สะอาดเสมอ

สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์โรคระบบทางเดินอาหารและตับ โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี 039-319888

บทความที่เกี่ยวข้อง

ไฟโบรสแกน

ไฟโบรสแกน

ไฟโบรสแกน คืออะไร? เป็นเทคโนโลยีใหม่ลาสุดในการตรวจหาภาวะพังผืดในเนื้อตับ และตรวจวัดปริมาณไขมันสะสมในตับ โดยไม่เกิดความเจ็บปวดใดๆ กับร่างกาย และลดอัตราความเสี่ยงจากภาวะแทรกซ้อน เมื่อเทียบจากการเจาะตับ (liver biopsy) หลักการทำงานของเครื่อง ไฟโบรสแกน เครื่อง ไฟโบรสแกน ใช้หลักการปล่อยคลื่นความถี่ต่ำที่ 50 เฮิรตซ์ ด้วยเทคนิค VCTETM (Vibration Controlled Transient Elastograply) เข้าไปในตับแล้ววัดคลื่นที่สะท้อนกลับมาด้วยคลื่นเสียงความถี่สูงต่ำ จากนั้นเครื่องจะประมวลผลออกมา เป็นค่าความแข็งเนื้อตับ หากตับเริ่มแข็ง คลื่นเสียงสะท้อนกลับจะเดินทางเร็ว ค่าที่วัดได้ก็จะสูงตาม มีหน่วยวัดเป็น กิโลพาสคาล(kPa) ส่วนการวัดปริมาณไขมันสะสมในตับ สามารถวัดได้โดยมีชื่อเรียกวิธีนี้ว่า CAP(Controlled Attenuation Parameter) ใช้หลักการปล่อยคลื่นเสียงความถี่ต่ำเข้าไปในเนื้อตับ และวัดค่าความต้านทานนั้นๆ หากตับมีปริมาณไขมันสะสมมาก ก็จะมีแรงต้านทานมาก ค่าที่ใด้ก็จะสูงตามมีหน่วยวัดเป็น เดซิเบล/เมตร(dB/m) ตับส่งสัญญาณว่าคุณควรพบแพทย์ ตาเหลือง ตัวเหลือง อ่อนเพลีย อาหารไม่ย่อย มีประวัติการดื่มสุราเรื้อรัง มีประวัติว่าคนในครอบครัวป่วยเป็นมะเร็งตับ เป็นผู้ที่อยู่ในกลุ่มเสี่ยงต่อการได้รับเชื้อไวรัส ตับอักเสบ B และไวรัสตับอักเสบ C ข้อดีของการตรวจไฟโบรสเกน ไม่เกิดความเจ็บปวด และไม่เป็นอันตรายใดๆ กับร่างกาย ง่าย รวดเร็ว ใช้เวลาไม่เกิน 5-10 นาที ทราบผลทันที จะรู้สึกสั่นสะเทือนบริเวณผิวหนังที่ปลายหัวตรวจเล็กน้อย ในกรณีที่ต้องติดตามผลอย่างใกล้ชิด สามารถตรวจซ้ำได้หลายครั้งและปลอดภัย วิธีการตรวจไฟโบรสแกน ให้นอนหงายโดยยกแขนทั้งสองข้างไว้เหนือศรีษะ ทาเจลที่หัวตรวจหรือผิวหนังคนไข้เพียงเล็กน้อย ทำการตรวจวัดที่บริเวณตำแหน่งตรงกลางเนื้อตับทั้งหมด 10 ครั้งในจุดเดียวกัน ผลที่ได้เป็น ค่าความแข็งของตับ เป็นตัวเลข ตั้งแต่ 1.5-75 กิโลพาสคาล และค่าปริมาณไขมันสะสมในตับเป็นตัวเลข ตั้งแต่ 100-400 เดซิเบล/เมตร ซึ่งแพทย์จะแปลผลที่ได้เพื่อใช้เป็นข้อมูลส่วนหนึ่งในการรักษาผู้ป่วยโรคตับ ตรวจ ไฟโบรสแกน เพื่ออะไร? ผลตรวจไฟโบรสแกนสามารถช่วยในการติดตามผลการดำเนินโรค และประเมินระดับความรุ่นแรงของภาวะตับแข็ง เพื่อดูผลการตอบสนองการรักษาและวางแผนการรักษาต่อไป โดยอาจใช้แทนการเจาะเนื้อตับในผู้ป่วยที่มีข้อห้ามหรือปฏิเสธการเจาะตับ ใครเป็นผู้ตรวจ ไฟโบรสแกน? แพทย์เฉพาะทางผู้เชี่ยวชาญด้านโรคตับหรือบุคลากรที่ได้รับการอบรมจะเป็นผู้ตรวจไฟโบรสแกนได้ดีที่สุด ข้อห้ามในการตรวจ ไฟโบรสแกน ไม่ตรวจในอวัยวะอื่นๆ นอกจากตับ ผู้ป่วยที่ติดอุปกรณ์ในร่างกาย เช่น pacemekers, defibrillators ผู้ที่มีภาวะท้องมาน หญิงตั้งครรภ์ ง่าย รวดเร็ว ปลอดภัย ไม่เจ็บ ทราบผลทันที!! สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์โรคระบบทางเดินอาหารและตับ โทร. 0-3931-9888

พันธุกรรม กับ “มะเร็งลำไส้ใหญ่”

พันธุกรรม กับ “มะเร็งลำไส้ใหญ่”

นอกจากพฤติกรรมการกินและการใช้ชีวิตที่ผิด พันธุกรรมก็เป็นหนึ่งปัจจัยการเกิดโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ ซึ่งเป็นเหตุผลที่คนอายุน้อยต้องตรวจคัดกรองเพื่อเฝ้าระวังโรคมะเร็งร้าย! รู้จักขั้นตอนการตรวจส่องกล้องคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ (Colonoscopy) มะเร็งลำไส้ใหญ่ แม้จะยังไม่ทราบสาเหตุการเกิดที่แน่ชัด แต่มีบางปัจจัยที่เพิ่มความเสี่ยงของการเกิดมะเร็งชนิดนี้ นั่นคือพฤติกรรมการใช้ชีวิต และการบริโภคที่เปลี่ยนแปลงไป อาทิ การหันมารับประทานอาหารแบบตะวันตกมากขึ้น เช่น เบเกอรี่ สเต็ก อาหารประเภทให้ความหวานมากๆ และรับประทานผัก ผลไม้น้อย อีกทั้งสภาวะแวดล้อมที่หลายๆ คนต้องเผชิญ เช่น ความรีบเร่งจากการทำงาน ความเครียด พักผ่อนไม่เพียงพอ อีกปัจจัยอีกหนึ่ง คือ พันธุกรรมที่มีการถ่ายทอดโดยยีน มะเร็งลำไส้ใหญ่ เป็นโรคมะเร็งที่สามารถป้องกันได้ และการตรวจคัดกรองเป็นวิธีการที่ดีที่สุด ช่วยป้องกันโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ และสามารถแยกเนื้องอกที่กำลังจะกลายเป็นมะเร็งได้ แนะนำให้เริ่มตรวจคัดกรองทั้งผู้ชายและผู้หญิงเมื่ออายุ 50 ปี การตรวจหาเลือดในอุจจาระ (fecal occult blood test: FOBT) สามารถตรวจได้ว่ามีเนื้องอกหรือเป็นมะเร็งหรือไม่ การตรวจด้วยวิธีนี้เป็นประจำทุกปีจะช่วยลดการเสียชีวิตจากมะเร็งลำไส้ใหญ่ได้ การตรวจส่องกล้องคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ (Colonoscopy) เป็นการตรวจคัดกรองแบบมาตรฐานสากล โดยเกณฑ์ของสมาคมแพทย์ระบบทางเดินอาหาร ประเทศสหรัฐอเมริกาได้กำหนดไว้ เพศชายและหญิงอายุ 50 ปี ทุกคนต้องตรวจคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ด้วยการส่องกล้อง แต่หากมีพ่อ แม่ ญาติสายตรงเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ ให้ใช้หลักโดยการนำอายุขณะที่ญาติเป็น ลบด้วย 10 เช่น แม่เป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่เมื่ออายุ 50-10 = 40 ปี ดังนั้นลูกต้องเข้ารับการส่องกล้องตรวจมะเร็งลำไส้ใหญ่เมื่ออายุ 40 ปี เพื่อตรวจหาความผิดปกติที่อาจเกิดขึ้นและแนะนำตรวจ ทุก 5 ถึง 10 ปี การใช้สารทึบแสงเรียมร่วมกับการถ่ายภาพด้วยรังสีเอกซเรย์ CT scan (double contrast barium enema: DCBE) จะใช้ในกรณีที่ผู้ป่วยไม่สามารถทนการตรวจด้วยวิธีส่องกล้องได้ วิธีการตรวจส่องกล้องคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ (Colonoscopy) จะช่วยให้เห็นภาพภายในลำไส้ใหญ่ทั้งหมดและสามารถเก็บชิ้นเนื้อที่สงสัยส่งตรวจ โดยให้ข้อมูลที่มีความแม่นยำ วิธีการคือแพทย์จะใช้กล้องพิเศษที่มีลักษณะเป็นท่อยาวเล็กๆ สอดผ่านทวารหนักเพื่อผ่านเข้าไปในลำไส้ใหญ่ ทำให้แพทย์สามารถเห็นรายละเอียดต่างๆ ตลอดทั้งลำไส้ใหญ่และลำไส้เล็กส่วนปลายได้ อีกทั้งแพทย์สามารถตัดชิ้นเนื้อนั้นออกมาตรวจได้โดยตรง สิ่งที่ตรวจพบได้จากการส่องกล้อง ริดสีดวงทวาร ลำไส้อักเสบ ติ่งเนื้อ เป็นเซลล์เนื้อที่ผิดปกติงอกจากผนังลำไส้ ซึ่งจะมีมากขึ้นเรื่อยๆ ตามอายุ จะค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไปเป็นเนื้อเยื่อที่มีความผิดปกติร้ายแรงมากขึ้น ถ้าทิ้งไว้นานขึ้น แต่หากตรวจพบแต่เนิ่นๆ และกำจัดออกได้ก่อนก็จะหยุดยั้งการเปลี่ยนแปลงไปสู่การเป็นเนื้อร้ายได้ ถุงโป่งจากลำไส้ใหญ่ (Diverticulum) เนื้องอก ใครบ้างที่ควรส่องกล้องตรวจลำไส้ใหญ่และไส้ตรง มีอาการผิดปกติในระบบทางเดินอาหารหรือมีอาการดังที่กล่าวไว้ข้างต้น อายุ 15-20 ปีขึ้นไป โดยมีประวัติญาติเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่หรือไส้ตรง 3 คนขึ้นไป อายุ 40 ปีขึ้นไป โดยมีประวัติญาติสายตรงเป็นโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่หรือไส้ตรง 1 คนขึ้นไป อายุ 50 ปีขึ้นไป โดยไม่มีปัจจัยเสี่ยงและไม่มีอาการผิดปกติ 6 ขั้นตอนการเตรียมตัวก่อนส่องกล้องคัดกรองมะเร็งลำไส้ใหญ่ (Colonoscopy) รับประทานอาหารอ่อน ย่อยง่าย ในช่วง 3 วันก่อนตรวจ งดรับประทานผัก ผลไม้ และอาหารที่มีเส้นใย รับประทานยาระบายให้ตรงตามจำนวน และเวลา ตามที่แพทย์สั่ง ควรดื่มน้ำ 1 แก้ว ทุกครั้งที่ถ่ายอุจจาระ คืนก่อนวันตรวจ งดอาหาร และน้ำดื่ม จนกว่าจะทำการตรวจ ควรมีญาติมาด้วย ในบางรายแพทย์อาจให้ยาระงับความรู้สึกทางหลอดเลือดดำ เพื่อลดความรู้สึกตึงแน่นในท้องจากการเป่าลมเข้าไปเพื่อให้ลำไส้ขยายตัวออกเหมือนลูกโป่งที่พองตัว เพื่อให้แพทย์ได้เห็นความผิดปกติภายในได้อย่างละเอียด ใช้ระยะเวลาในการทำโดยเฉลี่ย 15 - 30 นาที ภายหลังการตรวจมะเร็งลำไส้ใหญ่อาจเกิดอาการ แน่น อึดอัดท้อง จะทุเลาลง เมื่อได้ผายลม เจ็บบริเวณท้องน้อย หรือทวารหนัก อาการเหล่านี้จะค่อยๆ ทุเลาลงและหายไป ในช่วงระยะ 2-3 ชั่วโมงแรกหลังการส่องกล้อง ผู้ป่วยส่วนใหญ่สามารถรับประทานอาหาร กลับบ้าน หรือปฏิบัติภารกิจได้ตามปกติ ขอบคุณข้อมูลจาก : BDMS สถานีสุขภาพ

ท้องผูกเป็นปกติ 1ใน 5 สัญญาณเสี่ยง“มะเร็งลำไส้”

ท้องผูกเป็นปกติ 1ใน 5 สัญญาณเสี่ยง“มะเร็งลำไส้”

ท้องผูกเป็นปกติ 1ใน 5 สัญญาณเสี่ยง“มะเร็งลำไส้”ที่ไม่ควรมองข้าม มะเร็งลำไส้ใหญ่ มะเร็งที่ทำให้คนไทยเสียชีวิตอันดับ 3 ภัยเงียบที่แฝงอยู่ในชีวิตประจำวันซึ่งสัญญาณของโรคมักเป็นอาการเล็กๆน้อยๆ จนผู้ป่วยส่วยใหญ่ไม่ทันได้สังเกตรู้ตัวอีกทีก็ป่วยโรคร้ายซะแล้ว แต่หากลองลองสังเกตดีๆ จะมีสัญญาณเตือนส่งมาเป็นระยะ อะไรคือสัญญาณเตือนที่พึงระวังมะเร็งลำไส้ มะเร็งลำไส้ใหญ่ แน่นอนว่าเหมือนมะเร็งทุกชนิดที่ยังไม่ทราบสาเหตุที่แท้จริง แต่เกิดจากเป็นความผิดปกติของเซลล์ ที่ก่อตัวเป็นมะเร็งบริเวณลำไส้ใหญ่ มีความยาวเฉลี่ย 150 - 180 เซนติเมตร เกิดได้ตั้งแต่ส่วนต้นที่ติดกับลำไส้เล็ก ส่วนกลางลำไส้ ไปจนถึงส่วนปลายของลำไส้ใหญ่ที่อยู่ติดกับทวารหนัก ส่วนใหญ่แล้วจะเริ่มเกิดขึ้นจากจุดเล็กๆ เช่น มีติ่งเนื้อเล็กๆ เกิดขึ้นภายในลำไส้ นั้นหมายความว่าหากตรวจพบติ่งเนื้อเร็วก็สามารถรักษาหายได้ทันท่วงที 5 สัญญาณผิดปกติ ควรคำนึงถึง“มะเร็งลำไส้ใหญ่” คนในครอบครัวมีประวัติมะเร็งลำไส้ หากเป็นเช่นนั้นเราก็อาจมีโอกาสเกิดมะเร็งลำไส้มากกว่าคนปกติ 2 ใน 3 แต่ก็ไม่เสมอไปทั้งหมด เราสามารถเลี่ยงได้ด้วยการดูแลควบคุมตัวเองอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นการเลือกรับประทานอาหารที่มีประโยชน์ พยายามทานอาหารที่ช่วยระบบย่อยและขับถ่าย ไม่ปล่อยให้ท้องผูกเป็นระยะเวลานานๆ เลี่ยงอาหารปิ้ง ย่าง ทอด หรือมีไขมันสูง และควรหมั่นตรวจร่างกายเป็นประจำทุกปี พร้อมตรวจหาความเสี่ยงโรคมะเร็ง อย่างน้อยปีละ 1ครั้ง คนที่ท้องผูกเป็นปกติ อีกหนึ่งจุดเริ่มต้นของคนที่เสี่ยงเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ หลายๆ คนคิดว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย เพราะแค่ท้องผูกเอง หากนานๆ เป็นทีก็คงไม่เป็นอะไร แต่คนที่มีอาการท้องผูกติดต่อกันอย่างสม่ำเสมอ ก็แปลว่าระบบขับถ่ายไม่ดี แสดงว่าอาจมีความผิดปกติบางอย่างขึ้นที่บริเวณลำไส้ เช่น ลำไส้อักเสบ ลำไส้แปรปรวน ถ้าลองปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกินและดื่มน้ำให้มากขึ้นแล้ว แต่ยังท้องผูกต่อเนื่อง หรืออาการไม่ดีขึ้นเลย ก็ควรจะรีบปรึกษาแพทย์ ถ่ายอุจจาระมีมูกเลือดปะปน เป็นหนึ่งเหตุผลที่ควรใส่ใจเวลาขับถ่ายก็ต้องหมั่นคอยสังเกต เพราะจะช่วยให้เราทราบความผิดปกติตั้งแต่เนิ่น ๆ หากใครที่ขับถ่ายแล้วมีมูกเลือดปนออกมาด้วยบ่อย ๆ แสดงว่าเริ่มมีความผิดปกติเกิดขึ้นแล้ว และลองสังเกตต่อไปหากอุจจาระมีขนาดเล็กผิดปกติ ก็ควรปรึกษาและบอกอาการที่เกิดขึ้นกับแพทย์ เพื่อช่วยค้นหาสาเหตุที่แท้จริงต่อไป น้ำหนักลดลงทั้งที่กินอาหารเท่าเดิม หนึ่งอาการที่แสดงออกมาทางร่างกาย แต่หลายคนอาจจะคิดว่าโชคดีเหลือเกินที่กินเท่าเดิมแต่น้ำหนักกลับลดลง ทั้งที่ในความเป็นจริงแล้วแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยด้วยซ้ำถ้าร่างกายปกติดี หากช่วงนั้นเรารับประทานอาหารเท่าเดิม ไม่ได้ออกกำลังกายอะไรเป็นพิเศษ แต่น้ำหนักกลับลดฮวบฮาบ หรือลดลงผิดปกติ ก็เป็นอาการอย่างหนึ่งที่บอกถึงความผิดปกติของร่างกาย ที่เราควรรีบพบแพทย์เป็นการด่วน ระบบขับถ่ายผิดปกติ เดี๋ยวท้องผูก เดี๋ยวท้องเสีย อีกหนึ่งอาการที่สังเกตได้ของคนที่เป็นมะเร็งลำไส้ในระยะเริ่มต้น ซึ่งมักจะมีอาการท้องเสียสลับกับท้องผูกแบบที่เป็นเรื้อรังไม่หายขาดสักที หากปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการกิน เลือกกินแต่อาหารปรุงสุกใหม่แล้วยังท้องเสีย แสดงว่ามีความผิดปกติเกิดขึ้นกับระบบขับถ่ายอย่างแน่นอน จะเห็นได้ว่าสัญญาณเหล่านี้ไม่ควรมองข้ามและควรรู้เอาไว้ เพราะหากรู้ทันไม่ใช่แค่มะเร็งลำไส้ แต่ยังหลายรวมถึงโรคภัยอื่นๆด้วยที่สำคัญการป้องกันที่ดีที่สุดคือการกินอาหารอย่างถูกหลักอนามัย ลดอาหารลดจัด แปรรูป ปิ้งย่าง เพิ่มไฟเบอร์ผักใบเขียวเพื่อกระตุ้นการขับถ่าย แน่นอนว่าสุขภาพกายคุณจะดีวันดีคืน ห่างไกลโรคภัยแน่นอนค่ะ ขอบคุณข้อมูลจาก : BDMS สถานีสุขภาพ

โรคกระเพาะ (Peptic ulcer)

โรคกระเพาะ (Peptic ulcer)

โรคกระเพาะ (Peptic ulcer) โรคกระเพาะอาหาร ตามความหมายของแพทย์ หมายถึง แผลที่เกิดในกระเพาะอาหาร (Stomach) หรือลำไส้เล็กส่วนต้น (duodenum) โรคนี้พบได้ประมาณ 10 % ของประชากรทั่วไป และพบได้ทุกเพศทุกวัย ส่วนใหญ่จะมีอาการเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง แผลที่ลำไส้เล็กส่วนต้น (Duodenal ulcer/DU) พบบ่อยในวัยหนุ่มสาว (อายุเฉลี่ยของผู้ที่เริ่มเป็นโรคนี้ประมาณ 30 ปีเศษ) พบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงประมาณ 4 เท่า ผู้ที่เป็นโรคนี้มักจะมีการหลั่งกรดออกมาในกระเพาะอาหารมากเกิน ซึ่งจะไประคายเคืองต่อเยื่อบุผิวของลำไส้เล็กส่วนต้น ทำให้เกิดเป็นแผลขึ้นมา แต่สาเหตุที่ทำให้กระเพาะอาหารหลั่งกรดมากกว่าปกติ ยังไม่ทราบแน่ชัด เชื่อว่าอาจมีความสัมพันธ์กับกรรมพันธุ์และฮอร์โมนในร่างกาย โรคนี้พบมากในคนที่เคร่งเครียดกับการงาน รับประทานอาหารไม่ตรงเวลา วิตกกังวลหรือคิดมาก อาจพบร่วมกับโรคอื่น ๆ เช่น ถุงลมพอง ตับแข็ง ตับอ่อนอักเสบเรื้อรัง เนื้องอกของตับอ่อน ต่อมพาราธัยรอยด์ทำงานมากเกิน (Hyperparathyroidism) ผู้หญิงที่เป็นโรค ระหว่างตั้งครรภ์อาการจะดีขึ้นหรือหายไปได้เอง แต่พอถึงวัยหมดประจำเดือน อาจมีอาการกำเริบรุนแรงได้ เชื่อว่าฮอร์โมนเพศอาจมีความสัมพันธ์กับโรคนี้ได้ แผลที่กระเพาะอาหาร (Gastric ulcer/GU) พบได้น้อยกว่าแผลที่ลำไส้เล็กส่วนต้น ประมาณ 4 เท่า มักพบในวัยกลางคนขึ้นไป (อายุเฉลี่ยของผู้ที่เริ่มเป็นโรคนี้ประมาณ 50 ปีเศษ) พบในผู้หญิงกับผู้ชายจำนวนเท่า ๆ กัน ผู้ที่เป็นโรคนี้จะไม่มีการหลั่งกรดในกระเพาะอาหารมากกว่าปกติ แต่ความต้านทานต่อกรดของเยื่อบุกระเพาะอาหารเสื่อมลง อาจมีสาเหตุมาจาดื่มสุราจัด การรับประทานยาบางชนิด โรคนี้มักพบในคนที่มีฐานะยากจน ขาดอาหารสุขภาพไม่สมบูรณ์ อาจพบร่วมกับโรคอื่น ๆ เช่น โรคปอด โรคไต หรือโรคมะเร็ง อาการ ผู้ป่วยมักมีอาการปวดท้องเป็น ๆ หาย ๆ เรื้อรัง มักตรวจบริเวณใต้ลิ้นปี่ (บางคนอาจค่อนมาทางใต้ชายโครงขวาหรือซ้ายก็ได้) เวลาที่ปวดมักสัมพันธ์กับมื้ออาหาร เช่น ก่อนอาหาร หรือหลังอาหาร ลักษณะการปวดอาจปวดแสบ ปวดตื้อ ปวดเสียด จุกแน่น หรือมีความรู้สึกแบบหิวข้าว อาการปวดมักจะดีขึ้นถ้ารับประทานอาหาร ดื่มนม รับประทานยาลดกรดหรืออาเจียน นอกจากอาการปวดท้องแล้ว ยังอาจมีอาการคลื่นไส้อาเจียนหรือเรอเปรี้ยว ในผู้ป่วยที่มีแผลที่ลำไส้เล็กส่วนต้น มักมีอาการปวดหลังอาหารประมาณ 1-2 ชั่วโมง หรือขณะที่ท้องว่าง โดยมากจะเริ่มปวดตอนสายๆ หลังรับประทานอาหารเช้าแล้ว (ก่อนอาหารเช้ามักไม่มีอาการปวด) จะปวดมากขึ้นในช่วงบ่าย ๆ และเย็น ๆ และอาจปวดมากตอนเที่ยงคืนถึงตี 2 จนนอนไม่หลับ ในรายที่เป็นมาก อาจปวดร้าวไปที่หลังร่วมด้วย อาการปวดท้องมักเป็นอยู่นานหลายสัปดาห์ แล้วอาจหายได้เองโดยไม่ต้องรักษา แต่มักจะกำเริบใหม่ภายในเวลา 2 ปี ในผู้ป่วยที่มีแผลที่กระเพาะอาหาร มักมีอาการปวดท้องหลังอาหารประมาณ 30-60 นาที หรือหลังรับประทานอาหารอิ่ม มักทำให้ผู้ป่วยไม่กล้ารับประทานอาหารและทำให้น้ำหนักลด อาการแสดง ส่วนมากมักไม่พบอาการ บางคนอาจรู้สึกกดเจ็บเล็กน้อยตรงบริเวณใต้ลิ้นปี่ หากเป็นเรื้อรัง และมีเลือดออก (เลือดที่ออกในกระเพาะลำไส้ เมื่อถูกกับกรดจะเป็นสีดำ ทำให้มีอาการถ่ายอุจจาระดำ) ผู้ป่วยอาจมีอาการซีด อาการแทรกซ้อน ส่วนมากมักจะไม่มีอาการแทรกซ้อน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง แผลที่ลำไส้เล็กส่วนต้น มักจะหายได้เป็นส่วนใหญ่ อาการแทรกซ้อนที่อาจพบได้ เช่น กระเพาะทะลุ กระเพาะหรือลำไส้ตีบตัน เลือดออกในกระเพาะ อาจทำให้อาเจียนเป็นเลือดสด หรือถ่ายอุจจาระดำ (ถ้าเลือดออกมาก อาจถึงช็อกได้ ถ้าออกทีละน้อย ทำให้มีภาวะโลหิตจางจากการขาดธาตุเหล็ก) ในผู้ป่วยที่เป็นแผลที่กระเพาะอาหาร บางรายถ้าเป็นเรื้อรัง อาจกลายเป็นมะเร็งของกระเพาะอาหารได้ การรักษาและป้องกันการเป็นซ้ำ การรักษาที่สำคัญคือการรับประทานยาตามแพทย์แนะนำอย่างเคร่งครัดร่วมกับการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมที่กระตุ้นการเกิดโรคกระเพาะอาหาร ได้แก่ รับประทานอาหารตรงเวลาโดยไม่ปล่อยให้หิว เลี่ยงการรับประทานอาหารรสเผ็ดจัด งดสูบบุหรี่ หมั่นออกกำลังกายเป็นประจำ

ปิ้งย่าง เสี่ยงมะเร็งลำไส้-มะเร็งกระเพาะอาหาร

ปิ้งย่าง เสี่ยงมะเร็งลำไส้-มะเร็งกระเพาะอาหาร

ปิ้งย่าง เสี่ยงมะเร็งลำไส้-มะเร็งกระเพาะอาหาร ปิ้งย่าง อาหารสุดแสนอร่อยมื้อพิเศษที่หลายคนกิน 6 วันต่อสัปดาห์ เพราะความลงตัวของเนื้อ ผักและเครื่องเคียง แต่รู้หรือไม่ ขณะที่กินปิ้งย่าง คุณเองก็กำลังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดโรคมะเร็งเช่นกัน โดยเฉพาะ“มะเร็งทางเดินอาหาร” อย่าง มะเร็งลำไส้ใหญ่ หรือมะเร็งกระเพาะอาหารได้ แล้วปัจจัยนี้มีผลต่อความเสี่ยงโรคมะเร็งได้อย่างไร? อาหารสัมผัสความร้อนยิ่งสูงยิ่งเสี่ยงมะเร็ง มีการศึกษาพบว่าอาหารที่ถูกปรุงสุกโดยให้ความร้อนสัมผัสโดยตรงกับอาหาร ทำให้เกิดสารก่อมะเร็งที่มีชื่อว่า PAH ซึ่งเป็นสารที่เกิดขึ้นเมื่อไขมันในเนื้อสัตว์หยดลงไปโดนถ่านมันในเนื้อสัตว์หยดลงไปโดนถ่าน แล้วเกิดควันที่เป็นสารก่อมะเร็งลอยกลับมาเกาะอยู่บนเนื้อสัตว์ หากทานเข้าไปมากๆ หรือทานบ่อยๆ ก็จะสะสมอยู่ในร่างกาย ซึ่งสารชนิดนี้คือสารชนิดเดียวกันกับที่พบในควันท่อไอเสียรถยนต์ หรือควันบุหรี่ นั่นเอง เนื้อวัว เนื้อหมู ไขมันยิ่งสูง ก็ยิ่งเสี่ยง เชื่อว่าหลายคนมีเป้าหมายหลักในการไปกินปิ้งย่างนั้น ก็คือ เนื้อหมู เนื้อวัวสไลด์ แบบไขมันฉ่ำละลายในปาก หรือแม้แต่มันหมูที่ถูกประกบด้วยหนังหมูย่างกรุบกรอบ ความอร่อยจนยากจะห้ามใจเหล่านี้นี่แหละที่เป็นสาเหตุของความเสี่ยงโรคมะเร็ง เนื่องจากไขมันในสัตว์เนื้อแดงจะเป็นไขมันอิ่มตัว ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับการก่อตัวของมะเร็ง เช่น มะเร็งลำไส้ใหญ่ รสชาติเข้มข้น ที่มาของ“โซเดียมสูง” เนื้อสัตว์ที่ผ่านการหมักด้วยเครื่องปรุงมาอย่างเข้มข้นถึงรสชาติ นอกจากความอร่อยแล้ว...ก็คงหนีไม่พ้นปริมาณโซเดียมที่ค่อนข้างสูง โดยอาจมาจากซอสปรุงรส หรือผงชูรส รวมไปถึง “น้ำจิ้ม” ที่เรียกได้ว่ามีโซเดียมสูงไม่แพ้กัน ซึ่งปริมาณโซเดียมที่สะสมอยู่ในร่างกายไม่เพียงแค่ส่งผลเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคไตอย่างที่หลายคนรู้กันดี แต่ยังเสี่ยงโรคร้ายแรงอื่นๆ เช่น มะเร็งกระเพาะอาหาร ได้เหมือนกัน กินปลา(ย่าง)...ก็เจอสารก่อมะเร็งได้ ถึงการกินเนื้อแดงที่มีไขมันสูงจะทำให้เสี่ยงมะเร็ง ก็ไม่ได้หมายความว่าการกินปลาทะเลย่างจะไม่เสี่ยงต่อโรคมะเร็ง เพราะในปลาทะเลย่าง หรือปลาหมึกย่าง จะมีสารก่อมะเร็งที่เรียกว่า “สารไนโตรซามีน” แฝงตัวอยู่ รวมไปถึง “เบคอน” เมนูสุดโปรดของใครหลายคน หรือแฮม ไส้กรอก อาหารเหล่านี้ล้วนมีสารก่อมะเร็ง ที่มีชื่อว่า สารไนเตรต เจือปนอยู่ด้วย “การกิน” จะเป็นความสุขอย่างหนึ่ง แต่หากกินแบบให้โทษต่อร่างกายก็อาจนำมาซึ่งความทุกข์ทรมานในอนาคต ทางที่ดี! ควรกินในปริมาณที่พอเหมาะ ไม่กินอาหารปิ้งย่างบ่อยครั้งเกินไป และปรับวิธีการกินเพื่อลดความเสี่ยง เช่น เลือกใช้เตาแบบไร้ควันแทน ทานผักควบคู่กับเนื้อสัตว์ ตัดส่วนที่เป็นไขมันสัตว์ออกไป รวมไปถึงการเลือกร้านที่สะอาดถูกสุขอนามัย กินผักให้มากกว่าเนื้อสัตว์ก็ช่วยลดความเสี่ยงได้เช่นกันค่ะ ขอบคุณข้อมูลจาก : BDMS สถานีสุขภาพ

4 ระยะ “มะเร็งลำไส้ใหญ่”ระยะไหนหายขาดได้

4 ระยะ “มะเร็งลำไส้ใหญ่”ระยะไหนหายขาดได้

มะเร็งลำไส้ใหญ่ (Colon Cancer) คือ โรคที่เกิดจากความผิดปกติของเนื้อเยื่อลำไส้ใหญ่และลำไส้ที่มีการเปลี่ยนแปลงและแบ่งตัวอย่างต่อเนื่องจนไม่สามารถควบคุมได้ กลายเป็นก้อนหรือเนื้องอก ระยะแรกอาจเป็นเพียงแค่ติ่งเนื้องอกเล็ก ๆ เรียกว่าโพลิป (Polyp) แต่หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่ทำการรักษาหรือตัดทิ้ง อาจพัฒนากลายเป็นมะเร็ง ที่สามารถลุกลามทะลุผนังลำไส้จนแพร่กระจายต่อไปยังส่วนอื่นๆ ของร่างกายได้ อีกทั้งคาดว่าจะเกี่ยวข้องกับพันธุกรรมส่งต่อของยีนต์มะเร็ง และพฤติกรรมการกินและการใช้ชีวิต กลุ่มคนที่สุ่มเสี่ยงคือชอบกินอาหารปิ้งย่างที่ไหม้เกรียม อาหารแปรรูป ไขมันสูง ไม่ชอบกินผัก ผลไม้ที่มีไฟเบอร์ หรือแม้กระทั้งการดื่มแอลกอฮอล์และสูบบุหรี่ ปล่อยให้ตัวเองท้องผูกบ่อยครั้งก็จัดก็นับเป็นความเสี่ยงด้วยเช่นกัน อาการของผู้ป่วยมะเร็งลำไส้ใหญ่ในระยะแรกมักไม่มีอาการแต่หากมีอาการ 8 ข้อต่อไปนี้ ควรพบแพทย์เพราะอาจเป็นอาการอาการของมะเร็งลำไส้ใหญ่ระยะหลังแล้วแม้อายุจะยังไม่ถึง 50 ปีก็ตาม อาการนำ โรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ ระยะแรกมักไม่มีอาการมักตรวจพบโดยบังเอิญ ท้องผูกสลับท้องเสีย อย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน หรืออาจมีอาการท้องเสียเรื้อรัง ถ่ายเป็นเลือด อุจจาระเป็นเลือดสด หรือมี เลือดปนมากับอุจจาระ อุจจาระสีดำ หรือสีดำแดง อุจจาระลำเล็กลง ถ่ายไม่สุด ปวดลงทวาร อ่อนเพลียจากภาวะโลหิตจาง น้ำหนักลดโดยไม่ทราบสาเหตุ ปวดท้องเรื้อรัง โดยเฉพาะบริเวณท้องน้อย หรือคลำได้ก้อนบริเวณหน้าท้อง มะเร็งลำไส้ แบ่งได้เป็น 5 ระยะ ระยะที่ 0 เซลล์มะเร็งที่เป็นเพียงติ่งเนื้อ ตรวจพบได้จากการส่องกล้อง (Colonoscopy) และสามารถตัดออกขณะส่องได้ทันที ตั้งแต่ก่อนการเป็นมะเร็งหรือเกือบเป็นมะเร็งลำไส้ใหญ่ ทำให้มีโอกาสหายขาดถึง 100% ระยะที่ 1 เซลล์มะเร็งระยะเติบโตขึ้น และยังอยู่ในผนังลำไส้ เริ่มฝังในชั้นผนังของลำไส้ใหญ่และทวารหนัก โดยยังไม่กระจายไปสู่เนื้อเยื่อข้างเคียงหรือต่อมน้ำเหลือง ต้องรักษาด้วยการผ่าตัด หรือ Curative resection เป็นการผ่าตัดลำไส้ใหญ่ นำส่วนที่ดีมาต่อกัน ทั้งยังเป็นเทคนิคที่ใช้ผ่าตัดในมะเร็งทวารหนักร่วมด้วยได้ ระยะที่ 2 เกิดการลุกลามออกนอกผนังลำไส้ใหญ่ในบริเวณใกล้เคียง แต่ยังไม่กระจายถึงต่อมน้ำเหลือง สามารถใช้การผ่าตัดแบบหวังหาย (Curative resection) เป็นการรักษาหลักเช่นเดียวกับระยะที่ 1 ระยะที่ 3 เซลล์มะเร็งแพร่กระจายไปยังต่อมน้ำเหลือง แต่ยังไม่ลุกลามไปยังอวัยวะอื่น รักษาโดยการผ่าตัดแบบหวังหาย (Curative resection) ร่วมกับเคมีบำบัดหลังผ่าตัด ระยะที่ 4 มะเร็งแพร่กระจายลุกลามไปยังอวัยวะอื่นๆ เช่น ตับ, ปอด หากก้อนมะเร็งที่ลุกลามไปที่ตับหรือปอดสามารถตัดออกได้ แพทย์จะทำการผ่าตัดมะเร็งที่ลำไส้ใหญ่หรือทวารหนักออก พร้อมผ่าตัดมะเร็งที่ลุกลามออกด้วย แล้วให้ยาเคมีบำบัดต่อไป การวินิจฉัยโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ การซักประวัติ การตรวจร่างกายเบื้องต้น เช่น การตรวจทางทวารหนัก การตรวจอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น การตรวจอุจจาระทางห้องปฏิบัติการ การถ่ายภาพเอกซเรย์ด้วยการสวนแป้งทางทวารหนัก ทั้งนี้ เมื่อพบความผิดปกติ จะทำการตรวจอย่างละเอียดโดยการส่องกล้องลำไส้ใหญ่ (Colonoscopy) ซึ่งเป็นการส่องกล้องเข้าไปทางทวารหนัก เพื่อให้เห็นภาพภายในลำไส้ใหญ่ทั้งหมด รวมถึงสามารถตัดชิ้นเนื้อที่สงสัยส่งตรวจทางพยาธิวิทยาได้ วิธีนี้จึงเป็นวิธีการตรวจที่มีความแม่นยำมากที่สุด ผู้ป่วยที่รักษาโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่แล้ว มีโอกาสกลับมาเป็นซ้ำได้อีก ทั้งจุดเดิมของโรคและบริเวณลำไส้ใหญ่ส่วนอื่นๆ ดังนั้น ผู้ป่วยจึงต้องใส่ใจรับการตรวจติดตามโรคเป็นระยะๆ ตามคำแนะนำของแพทย์ ซึ่งหลังการรักษานั้น แพทย์จะมีการติดตามผลเป็นระยะ โดยในช่วง 2 ปีแรก แพทย์จะนัดติดตามอาการทุก 3 - 6 เดือน และในช่วง 3-5 ปีหลัง แพทย์จะนัดติดตามอาการทุก 6 เดือน ในการนัดแต่ละครั้งแพทย์จะทำการซักประวัติและตรวจร่างกาย นอกจากนั้น การจำกัดการบริโภคเนื้อแดง และอาหารไขมันสูง เพิ่มเกราะป้องกันให้ตัวเองโดยการบริโภค ผัก ผลไม้ และอาหารที่มีกากใยสูง เพื่อช่วยให้การขับถ่ายเป็นปกติ ออกกำลังกายเป็นประจำ นอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ รวมถึงการเข้ารับการตรวจสุขภาพประจำปี ผู้ป่วยควรลดปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ได้ ขอบคุณข้อมูลจาก : BDMS สถานีสุขภาพ