มะเร็งรังไข่

มะเร็งรังไข่

ปกติผู้หญิงจะมีรังไข่สองข้าง โอกาสที่จะเกิดมะเร็งรังไข่ทั้งสองข้างพร้อมๆ กันมีประมาณ 25% และเป็นโรคที่พบได้ตั้งแต่อายุน้อย และมีโอกาสเสี่ยงสูงมากขึ้นเมื่อผู้หญิงมีอายุ 50 ปีขึ้นไป ประวัติการณ์ของโรคมะเร็งรังไข่ในไทยเป็นมะเร็งของอวัยวะสืบพันธุ์สตรีพบได้บ่อยเป็นอันดับ 2 รองลงมาจากมะเร็งปากมดลูก และเป็นอันดับ 6 ของมะเร็งทั้งหมดที่พบในหญิงไทย ซึ่งอุบัติการณ์ของมะเร็งรังไข่ 5.2 ต่อประชากรสตรี 100,000 คนต่อปี ปัจจุบันได้มีการค้นพบยีนที่เกี่ยวข้องกับการเสี่ยงต่อการเป็นมะเร็งรังไข่

สาเหตุการเกิดมะเร็งรังไข่ สามารถเกิดขึ้นได้ 3 กลุ่มใหญ่คือ

  • มะเร็งฟองไข่ที่เกิดจากเซลล์ตัวอ่อน มีโอกาสพบได้ 5%
  • มะเร็งที่เกิดจากเซลล์เยื่อบุผิวรังไข่ ซึ่งพบได้เป็นส่วนใหญ่คือประมาณ 90%
  • มะเร็งเนื้อรังไข่ ซึ่งมีโอกาสพบได้น้อยมาก

สาเหตุ” ของการเกิดมะเร็งรังไข่

  • ส่วนใหญ่เกิดจากความผิดปกติทางพันธุกรรม ยิ่งในครอบครัวมีประวัติเป็นโรคมะเร็งก็จะมีโอกาสเป็นมะเร็งสูงขึ้น
  • พบในคนอ้วนมากกว่าคนผอม
  • เกิดกับคนที่มีประจำเดือนเร็วคืออายุน้อยกว่า 12 ปี หรือหมดประจำเดือนช้ากว่าอายุ 55 ปี
  • คนที่มีภาวะมีบุตรยากและต้องใช้ยากระตุ้นการตกไข่
  • หญิงที่ยังไม่เคยตั้งครรภ์ก็มีโอกาสเสี่ยงเป็นมะเร็งรังไข่สูงกว่าหญิงที่เคยตั้งครรภ์มากกว่า 2 ครรภ์ขึ้นไป

อาการเริ่มต้นของ “มะเร็งรังไข่

น่าแปลกที่อาการเริ่มแรกแทบไม่เกี่ยวข้องกับมะเร็งรังไข่เลย เช่น อาหารไม่ย่อย ท้องอืด ท้องเฟ้อ กินอาหารนิดเดียวก็รู้สึกอึดอัดในช่องท้อง รวมถึงมีอาการปวดท้อง คลื่นไส้ ท้องเสีย ท้องผูก เบื่ออาหาร น้ำหนักขึ้นหรือลดลงโดยไม่มีสาเหตุ ปัสสาวะบ่อย ซึ่งอาการต่างๆ เหล่านี้ทำให้หลายคนประมาทและไม่คิดว่าจะเป็นจุดเริ่มต้นของมะเร็งรังไข่ได้ กว่าจะพบก็มักจะเป็นในระยะลุกลามไปแล้ว คือจะคลำพบก้อนเนื้อบริเวณท้องน้อยเริ่มมีอาการปวดท้อง หรือมีน้ำในช่องท้อง

4 ระยะของมะเร็งรังไข่

  • ระยะที่ 1: เซลล์มะเร็งกระจายอยู่เฉพาะรังไข่ หากมีการตรวจพบในช่วงนี้ ก็จะทำการผ่าตัดรักษาได้ทันท่วงที โดยที่ยังไม่ลุกลามไปยังส่วนอื่นๆ หากมีการตรวจภายในเป็นประจำก็มีโอกาสที่จะพบในระยะนี้ได้มากกว่าคนที่ไม่เคยตรวจเลย
  • ระยะที่ 2: เซลล์มะเร็งกระจายไปสู่อุ้งเชิงกราน ก็ยังอยู่ในระยะที่ตรวจพบได้น้อยเช่นกัน เนื่องจากไม่มีอาการใดๆ แสดงออกมาเลย ทำให้มะเร็งรังไข่ลุกลามกลายเป็นภัยเงียบที่อันตรายกว่าที่หลายคนคิด
  • ระยะที่ 3: เซลล์มะเร็งกระจายไปสู่เยื่อบุช่องท้อง เป็นระยะที่มักตรวจพบมากที่สุด เนื่องจากหน้าท้องจะขยายใหญ่ขึ้นอย่างรวดเร็วจนสังเกตเห็นได้ถึงความผิดปกตินี้ เนื่องจากสารน้ำต่างๆ ในท้องมากขึ้น และคนไข้จะมีอาการตึงและแข็งที่ท้องมากขึ้น แต่น้ำหนักกลับลดลง
  • ระยะที่ 4: เซลล์มะเร็งกระจายเข้าสู่อวัยวะอื่นๆ นอกช่องท้อง อาจไล่ไปที่ตับ ปอดอย่างรวดเร็ว

เนื่องจากการไม่แสดงอาการในระยะเริ่มต้น กลุ่มเสี่ยงที่เกิดมาข้างต้นและมีอาการแปลกๆ จึงไม่ควรมองข้าม เพราะในระยะแรกจะสามารถรักษาได้ง่ายกว่าในระยะอื่นๆ ดังนั้นผู้หญิงเราจึงควรป้องกันด้วยการตรวจร่างกายเป็นประจำทุกปี และเน้นการตรวจภายในหรือตรวจอัลตร้าซาวด์อย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง หมั่นออกกำลังกาย รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และควรลดการรับประทานไขมันจากสัตว์ เพราะหากทานปริมาณที่มากเกินไปก็อาจมีแนวโน้มความเสี่ยงที่จะเป็นมะเร็งรังไข่ได้มากเท่านั้น และรีบปรึกษาแพทย์เพื่อทำการรักษาหากพบความผิดปกติอย่างเร่งด่วน ซึ่งก็มีตั้งแต่การผ่าตัด การใช้เคมีบำบัด และการฉายรังสี

ขอบคุณข้อมูลจาก : BDMS สถานีสุขภาพ

บทความที่เกี่ยวข้อง

มีเซ็กซ์ปลอดภัยไม่ติดเชื้อ HPV

มีเซ็กซ์ปลอดภัยไม่ติดเชื้อ HPV

เซ็กซ์อย่างป้องกัน ลดเสี่ยงมะเร็งปากมดลูก การมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน สุ่มเสี่ยง โรคติดต่อมากมาย และเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้เกิดมะเร็งในผู้หญิง เช่น มะเร็งปากมดลูก มะเร็งช่องคลอด มะเร็งปากช่องคลอด ที่มีแนวโน้มสูงขึ้นเนื่องจากติดเชื้อ การติดเชื้อ HPV หรือ Human Papillomavirus รู้ทริคป้องกันโรครับวาเลนไทน์ 2023 ให้ปลอดภัย การติดเชื้อ HPV หรือ Human Papillomavirus เป็นโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ที่พบมากที่สุด เป็นสาเหตุของโรคหลายชนิด โดย HPV แบ่งได้เป็น 2 กลุ่ม คือ HPV ชนิดไม่ก่อให้เกิดมะเร็ง ไม่ได้ทําาให้เกิดมะเร็งปากมดลูก แต่เป็นสาเหตุของหูดหงอนไก่บริเวณอวัยวะเพศ เชื้อ HPV ติดต่อได้ง่ายผ่านทางเพศสัมพันธ์เป็นหลัก โดยมักพบในคนช่วงวัยเจริญพันธุ์ อายุ 20-30 ปี สูงถึง 2 ใน 3 คนเลยทีเดียว เมื่อติดเชื้อ เซลล์ปากมดลูกเกิดการเปลี่ยนแปลงไปเป็นเซลล์มะเร็งอาจใช้เวลานาน 10-15 ปี ซึ่งผู้หญิงที่ติดเชื้อมักจะไม่มีอาการผิดปกติใดๆ เป็นระยะเวลานาน แต่จะมาพบแพทย์เมื่อมีอาการแล้ว เช่น เลือดออกผิดปกติจากช่องคลอดที่ไม่ใช่ประจําเดือน มะเร็งมักเข้าสู่ระยะลุกลามแล้ว และแม้ว่าการติดเชื้อ HPV จะเพิ่มโอกาสสูงขึ้นตามจำนวนของคู่นอน แต่การมีเพศสัมพันธ์กับคู่นอนแค่คนเดียวก็มีโอกาสติดเชื้อ HPV ได้ หากคู่นอนของคุณมีเชื้อ HPV อยู่ก่อนแล้ว มีเซ็กซ์ปลอดภัยจากเชื้อ HPV ไม่เปลี่ยนคู่นอนหลายคน สวมถุงยางอนามัยทุกครั้งที่มีเพศสัมพันธ์ เพราะช่วยป้องกันการติดเชื้อ HPV มากถึง 90% ไม่ควรมีเพศสัมพันธ์ตั้งแต่อายุยังน้อย หรือ ต่ำกว่า 18 ปี ไม่มีเพศสัมพันธ์ทางทวารหนัก เพราะสามารถเสี่ยงต่อการติดเชื้อ HPV และก่อให้เกิดมะเร็งทวารหนักในอนาคตได้ ไม่มีเพศสัมพันธ์ด้วยการทำออรัล เพราะเชื้อ HPV สามารถก่อให้เกิดมะเร็งช่องปาก หรือมะเร็งลำคอได้ ระวังการติดเชื้อจากการใช้นิ้วมือ เนื่องจากเชื้อ HPV สามารถติดต่อผ่านการสัมผัสทางผิวหนังโดยตรงได้ การป้องกันที่สำคัญกว่า คือการรับฉีดวัคซีนป้องกัน HPV วัคซีนป้องกันการติดเชื้อไวรัส HPV (Human Papilloma Virus) จะกระตุ้นร่างกายให้สร้างภูมิคุ้มกันป้องกันการติดเชื้อ HPV ปัจจุบันวัคซีน HPV มี 2 ชนิด ชนิดแรก เป็นวัคซีน HPV ชนิด 2 สายพันธุ์ ซึ่งมีการเสริมสารกระตุ้นภูมิรุ่นใหม่ เน้นป้องกันมะเร็งปากมดลูกจากเชื้อ HPV สายพันธุ์ก่อมะเร็ง (HPV 16, 18 และ HPV สายพันธุ์ก่อมะเร็งอื่นๆ) ชนิดที่ 2 วัคซีน HPV ชนิด 4 สายพันธุ์ ใช้ป้องกันมะเร็งปากมดลูก (จาก HPV 16, 18) และหูดอวัยวะเพศ (จาก HPV 6, 11) ช่วงวัยที่เหมาะสมกับการฉีดป้องกันป้องกันมะเร็งปากมดลูก ควรฉีดในผู้หญิงอายุตั้งแต่ 9-26 ปี หรืออาจขยายระยะเวลาได้ถึง 45 ปี ในผู้ชายก็เช่นเดียวกัน เพราะเป็นวัยที่ร่างกายสามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้ดีที่สุด นอกจากนี้การตรวจหาเชื้อ HPV ในระดับดีเอ็นเอ หรือ HPV Testing จึงเป็นวิธีการค้นหาเชื้อ HPV ที่ให้ผลแม่นยำ ช่วยให้รักษาการติดเชื้อได้ทันก่อนกลายเป็นมะเร็ง ขอขอบคุณข้อมูลจาก : BDMS สถานีสุขภาพ

ช็อกโกแลตซีสต์ กับ การมีบุตรยาก

ช็อกโกแลตซีสต์ กับ การมีบุตรยาก

ช็อกโกแลตซีสต์ กับ การมีบุตรยาก ปัญหามีบุตรยากยังคงเป็นปัญหาชีวิตคู่ที่มีมาทุกยุคสมัย โดยมีสาเหตุได้ทั้งเพศหญิงและเพศชาย แต่ในเพศหญิงจะพบค่อนข้างมากกว่าเมื่ออายุเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะปัญหาความผิดปกติของรังไข่ อย่างช็อกโกแลตซีสต์ โรคถุงน้ำรังไข่ รวมถึงความผิดปกติของมดลูกอย่างเนื้องอกมดลูก ซึ่งปัญหาการมีบุตรยากจึงพบในฝ่ายหญิงมากถึง 40 – 50% ฝ่ายชาย 30% และหาสาเหตุไม่ได้ 20 – 30% องค์ประกอบในการมีบุตรประกอบด้วย 3 ส่วนคือ ไข่ หากรังไข่ทำงานไม่สมบูรณ์ ไข่ไม่ตก ไข่ทำงานไม่มีคุณภาพส่งผลให้มีบุตรยาก สเปิร์ม หากสเปิร์มมีจำนวนน้อย ไม่แข็งแรงก็ไม่สามารถปฏิสนธิกับเซลล์ไข่ได้ มดลูก หากพบความผิดปกติของมดลูก มีเนื้องอกมดลูกย่อมส่งผลให้มีบุตรยาก ผู้หญิงมีเซลล์ไข่จำนวนมากเก็บรักษาอยู่ในรังไข่ทั้งสองข้างตั้งแต่เกิดจนถึงเวลาที่ผู้หญิงเริ่มมีประจำเดือน เซลล์ไข่ใบแรกเริ่มถูกนำมาใช้เป็นรอบ ๆ ดังนั้นเมื่ออายุเพิ่มมากขึ้น ไข่จึงถูกดึงมาใช้ไปเรื่อย ๆ ทำให้ปริมาณไข่ลดลงตามอายุขัย นอกจากนี้พฤติกรรมการใช้ชีวิตก็มีส่วนสำคัญ ทำให้ไข่เสื่อมคุณภาพได้ด้วย ปัจจัยที่ส่งผลให้รังไข่ทำงานไม่สมบูรณ์ ได้แก่ ฮอร์โมนไม่สมดุล จากความเครียด น้ำหนักไม่ปกติ ไทรอยด์ เบาหวาน สูบบุหรี่ เพิ่มโอกาสมีบุตรยากถึง 13% และทำให้ไข่เสื่อมเร็วไป 10 ปี ช็อกโกแลตซีสต์หรือเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ โรคติดเชื้อในรังไข่ ท่อนำไข่อักเสบ เป็นปัจจัยเร่งให้ไข่เสื่อมคุณภาพและหมดเร็ว โดยเฉพาะในวัยที่มีอายุตั้งแต่ 35 ปีขึ้นไป พบว่า เกิดจากช็อกโกแลตซีสต์หรือเยื่อบุโพรงมดลูกเจริญผิดที่ ภาวะที่เยื่อบุโพรงมดลูกเติบโตอยู่นอกโพรงมดลูกหรือแทรกในผนังหรือกล้ามเนื้อมดลูก รวมถึงเติบโตตามอวัยวะต่าง ๆ พบบ่อยที่รังไข่ มีลักษณะเป็นถุงน้ำรังไข่ที่บรรจุของเหลวคล้ายช็อกโกแลต จะใหญ่ขึ้น ๆ จากการถูกเติมเต็มในรอบเดือนแต่ละเดือน ใหญ่เร็วหรือช้าขึ้นกับหลายปัจจัย ทำให้เกิดพังผืดหนาขึ้นเรื่อย ๆ มีอาการหลัก คือ ปวดประจำเดือนมากและนาน ปวดท้องน้อยเป็นประจำก่อน ระหว่าง และหลังมีประจำเดือน และมีบุตรยาก สาเหตุการเกิดช็อกโกแลตซีสต์ ในปัจจุบันทางการแพทย์เชื่อว่า สาเหตุของโรคนี้เกิดจากเซลล์เยื่อบุโพรงมดลูกนี้ไหลย้อนตามเลือดประจำเดือนเข้าไปในช่องท้อง และไปก่อตัวเจริญเติบโตอยู่ภายในช่องท้องโรคช็อกโกแลตซีสต์ จะขึ้นกับตำแหน่งที่เซลล์ไปเจริญเติบโตอยู่ โดยสามารถแยกพิจารณาตามตำแหน่งที่โรคไปเจริญเติบโตอยู่ดังนี้ เยื่อบุช่องท้อง อุ้งเชิงกราน รังไข่ มดลูก ท่อรังไข่ ท่อไต กระเพาะปัสสาวะ ลำไส้ใหญ่ อาการโรค ช็อกโกแลตซีสต์ ปวดประจำเดือนมากผิดปกติจนต้องใช้ยารักษา และอาการจะรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ประจำเดือนออกมากผิดปกติ อาจมาเป็นลิ่มๆ ถ้ารุนแรงจะเกิดภาะซีดได้ ปวดในช่องท้อง ท้องน้อย หรืออุ้งเชิงกราน มักจะรุนแรงขึ้นขณะที่มีประจำเดือน หรือช่วงก่อน/หลังมีประจำเดือน ในรายที่ช็อกโกแลตซีสต์เกาะที่รังไข่ อาจจะพบว่ามีก้อนในช่องท้องจากถุงน้ำรังไข่ที่โตขึ้น โดยอาจจะไม่มีอาการใดๆ แสดงออกมา ในรายที่เป็นโรคระยะรุนแรงจะมีพังผืดเกิดขึ้นจำนวนมาก หรือท่อนำไข่ถูกทำลายไป จากเซลล์เหล่านี้ ในกรณีเยื่อบุโพรงมดลูกหรือพังผืดไปเกาะที่ลำไส้ใหญ่ชนิดรุนแรงจะทำให้ถ่ายเป็นเลือดได้ ปัจจุบันมีเทคโนโลยีที่เรียกว่า การผ่าตัดแบบแผลเล็ก หรือ Minimally Invasive Surgery (MIS) เป็นเทคโนโลยีการผ่าตัดผ่านกล้อง ด้วยการเจาะผิวหนังบริเวณที่จะทำการรักษาให้เป็นรูขนาดเล็กๆ จากนั้นจึงทำการใส่กล้องและเครื่องมือผ่าตัดลงไปเพื่อทำการผ่าตัดรักษาสามารถสอดลวดไฟฟ้าเข้าไปตัดเนื้องอกมดลูกออกมาได้โดยไม่มีแผลผ่าตัดเลย เมื่อผู้ป่วยตื่นขึ้นมาหลังผ่าตัดเสร็จจะไม่ปวดแผล อาจมีอาการเพียงรู้สึกหน่วงๆ คล้ายขณะมีประจำเดือนเท่านั้น จึงทำให้ผู้ป่วยที่ทำการผ่าตัดในตอนเช้า สามารถกลับบ้านได้ในวันเดียวกัน ขอบคุณข้อมูลจาก : ฺBDMS สถานีสุขภาพ

เจาะชิ้นเนื้อรก

เจาะชิ้นเนื้อรก

มารู้จักหัตถการเจาะชิ้นเนื้อรกกันเถอะ คุณแม่ๆ เคยได้ยินกันไหมครับว่าอะไรคือ "เจาะชิ้นเนื้อรก" หลายคนอาจเคยได้ยินแค่ "เจาะน้ำคร่ำ" มาดูกันครับว่าต่างกันอย่างไร ? เนื่องจากปัจจุบันมีโรงพยาบาลที่สามารถทำหัตถการนี้ได้ไม่มาก และต้องทำโดยแพทย์เฉพาะทางเวชศาสตร์มารดาและทารกในครรภ์เท่านั้น เพราะเป็นหัตถการที่ต้องอาศัยความชำนาญและความแม่นยำมากกว่าการเจาะน้ำคร่ำ คนส่วนใหญ่จึงอาจไม่ค่อยรู้จักการตรวจชนิดนี้ เจาะเนื้อรกตรวจอะไร การเจาะเนื้อรก (Chorionic villi sampling: CVS) หลักๆ คือการตรวจโครโมโซมและกลุ่มโรคทางพันธุกรรมของทารก โดยจะตรวจเพื่อการวินิจฉัยโรคโดยตรง เช่น มารดาอายุมาก หรือมีบุตรโครโมโซมผิดปกติในครรภ์ก่อน ผลตรวจคัดกรองดาวน์มีความเสี่ยงสูง ทารกในครรภ์มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคทางพันธุกรรม อัลตราซาวด์พบความผิดปกติที่สงสัยว่าสัมพันธ์กับภาวะโครโมโซมผิดปกติ เป็นต้น โดย อายุครรภ์ที่เหมาะสมต่อการเจาะชิ้นเนื้อรกคือระหว่าง 11-14 สัปดาห์ และทำโดยแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง ข้อดีของการตรวจนี้คือการรู้ผลเร็ว ทำให้สามารถวางแผนการตั้งครรภ์และการดูแลรักษาได้เร็วขึ้น เช่น คุณแม่ที่ตรวจคัดกรองดาวน์แล้วทราบว่าความเสี่ยงสูงก็จะสามารถเลือกวิธีตรวจที่ทราบผลเร็ว หากทารกมีภาวะผิดปกติจริง การยุติการตั้งครรภ์ตั้งแต่อายุครรภ์น้อยจะปลอดภัยกว่าการรอให้ครรภ์โตมาก การเจาะเนื้อรกทำอย่างไร การเจาะเนื้อรกจะทำโดยการใช้อุปกรณ์ผ่านเข้าไปในมดลูกของคุณแม่เพื่อเก็บเนื้อรกออกมาปริมาณเล็กน้อย โดยทั่วไปจะไม่ผ่านเข้าไปในถุงน้ำคร่ำที่ทารกอยู่โดยตรง มีสองวิธีคือ การเจาะผ่านทางหน้าท้อง และการเก็บชิ้นเนื้อรกผ่านทางช่องคลอด การเจาะเนื้อรกไม่ต้องวางยาสลบ อาจมีการฉีดยาชาในกรณีเจาะผ่านหน้าท้อง ใช้เวลาทำไม่นาน แพทย์จะใช้อัลตราซาวด์ประกอบการเจาะเพื่อให้มั่นใจว่าเข็มอยู่ในบริเวณที่เหมาะสม หากต้องการสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม ติดต่อที่ศูนย์สุขภาพสตรี โรงพยาบาลกรุงเทพ จันทบุรี 039-319877

9 สัญญาณเตือนช็อกโกแลตซีสต์

9 สัญญาณเตือนช็อกโกแลตซีสต์

ช็อกโกแลตซีสต์ (Chocolate Cyst) หรือ ทางการแพทย์เชื่อว่าเกิดจากการที่เลือดประจำเดือนไหลย้อนกลับ คือ แทนที่เลือดจะไหลออกมาทางช่องคลอดตามปกติ แต่กลับมีประจำเดือนส่วนหนึ่งไหลย้อนไปทางหลอดมดลูกเข้าไปในช่องท้องแล้วไปฝังตัวที่รังไข่จนทำให้เกิดเป็นถุงน้ำ หรือถุงที่มีเลือดคั่ง และไปเจริญเติบโตในอวัยวะต่างๆ เช่น อุ้งเชิงกราน ท่อรังไข่ ลำไส้ช่องคลอด มดลูก กระเพาะปัสสาวะ ผู้หญิงทุกคนมีโอกาสเป็น เพราะเกิดขึ้นจากฮอร์โมนเพศหญิง ตราบใดที่ยังมีประจำเดือน ซึ่ง โรคนี้จะส่งผลร้ายแรงต่อร่างกายมากน้อยเพียงใดขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล ถึงแม้จะไม่ใช่โรคร้ายที่อันตรายถึงชีวิต แต่ก็สร้างความทรมานให้สาวๆ ที่เป็นโรคนี้ได้ไม่น้อย อาการที่เสี่ยงเป็นช็อกโกแลตซีสต์ ปวดท้องมากผิดปกติเวลามีประจำเดือน และปวดมากขึ้นๆ ทุกเดือน โดยอาจจะปวดทั้งด้านหน้าและด้านหลัง ตั้งแต่สะดือไปถึงอุ้งเชิงกรานและตั้งแต่บั้นเอวไปถึงก้นกบ รวมถึงการปวดท้องน้อยเวลามีเพศสัมพันธ์ ประจำเดือนมามากผิดปกติ หรือนานกว่า 7 วัน และการมีเลือดออกทางช่องคลอดอย่างผิดปกติ ประจำเดือนมาถี่ หรือระยะห่างระหว่างที่เป็นประจำเดือนแต่ละรอบสั้นกว่าปกติ คือมีมากกว่าเดือนละ 2 ครั้ง ปัสสาวะบ่อยขึ้นกว่าปกติ อาจเป็นเพราะก้อนซีสต์มีขนาดใหญ่ และไปเบียดกระเพาะปัสสาวะจนทำให้เกิดการทำงานที่ผิดปกติ ถ่ายอุจจาระเป็นเลือด ปัสสาวะเป็นเลือดในช่วงมีประจำเดือน ถ้าเป็นคนผอมแต่มีพุง ให้ตั้งข้อสงสัยว่าอาจมีถุงน้ำขนาดใหญ่เกิดขึ้นภายในท้อง ปวดไมเกรนบ่อยๆ โดยเฉพาะช่วงก่อน และระหว่างมีประจำเดือน บางรายอาจไม่มีอาการใดๆ แสดงออกมาเลย แต่คลำพบก้อนแข็งบริเวณท้องน้อยซึ่งอาจจะอยู่ตรงกลางหรือด้านข้างเนื่องจากถุงน้ำโตขึ้นจนมีขนาดใหญ่และอยู่ในระยะที่เป็นอันตราย บางรายตรวจพบว่าโรคนี้เป็นสาเหตุของการมีบุตรยากเนื่องจากท่อนำไข่ตีบตัน ทำให้ไข่ไม่สามารถเดินทางได้สะดวก ซึ่งก็เป็นอีกหนึ่งผลพวงที่มีสาเหตุมาจากช็อกโกแลตซีสต์ เพราะเมื่อเยื่อบุนี้ไปเกาะอยู่บนรังไข่ ทำให้รังไข่มีพื้นในการผลิตไข่ และสร้างฮอร์โมนน้อยลง เพราะถูกแทนที่ด้วยช็อกโกแลตซีสต์ไข่ที่ผลิตได้ก็ด้อยคุณภาพ และยังทำให้ท่อรังไข่คดงอ ไข่กับอสุจิที่ผสมกันแล้วจึงผ่านมาฝังตัวได้อย่างไม่สมบูรณ์ หากพบว่าเป็นก็จะได้ทำการรักษาแต่เนิ่นๆ จะเป็นการดีที่สุด ในส่วนของการรักษา ในรายที่อาการรุนแรงไม่มาก แพทย์อาจให้สังเกตและติดตามอาการเป็นระยะ ในรายที่มีอาการพอสมควรแพทย์อาจรักษาโดยใช้ยา หรือหากใช้ยาแล้วไม่ได้ผลอาจจำเป็นต้อง ผ่าตัด ช็อกโกแลตซีส ซึ่งการผ่าตัดในปัจจุบันนี้แพทย์ก็จะเลือกใช้วิธีการผ่าตัดส่องกล้อง (Laparoscopic Surgery) เป็นวิธีมาตรฐานในการผ่าตัด ซึ่งการผ่าตัดผ่านกล้องนี้เป็นวิธีที่ทันสมัย เป็นรูปแบบหนึ่งของการผ่าตัดแบบ Minimally Invasive Surgery หรือ MIS อันเป็นเทคนิคในการผ่าตัดที่มีประสิทธิภาพสูง ผู้เข้ารับการผ่าตัดจะมีแผลเล็ก เจ็บน้อย และฟื้นตัวเร็ว ซึ่งไม่น่ากลัวแต่อย่างใด จากที่คุณหมอให้ความรู้เรามาทั้งหมดนี้ก็จะพบว่า โรคช็อกโกแลตซีสต์ ก็ไม่ใช่โรคที่น่ากลัวมาก หากคุณสาวๆ หมั่นสังเกตความผิดปกติของร่างกายตัวเองแล้วรีบไปพบสูตินรีแพทย์ เพื่อตรวจอาการตั้งแต่เนิ่นๆ ก่อนที่โรคจะลุกลามก็น่าจะเป็นการดีที่สุด ก่อนที่โรคภัยจะมาคุกคามชีวิตและลุกลามจนรบกวนการใช้ชีวิตประจำวันของเรา สอบถามเพิ่มเติมติดต่อศูนย์ส่งเสริมสุขภาพ โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี 039-319877

สัญญาณเตือน เนื้องอกในมดลูก

สัญญาณเตือน เนื้องอกในมดลูก

สัญญาณเตือน “เนื้องอกในมดลูก“ ประจำเดือนมากผิดปกติ ปัสสาวะบ่อยจากอาการกดเบียดอวัยวะข้างเคียง ปวดท้องน้อย แน่นๆ หน่วงๆ คลำได้ก้อน เคสหญิงวัยทำงานสุขภาพแข็งแรง วันหนึ่งเริ่มรู้สึกว่าประจำเดือนมามากผิดปกติ และมีอาการปวดท้องน้อยเป็นระยะ จึงตัดสินใจ เข้ามาตรวจสุขภาพสตรีที่ โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี..หลังการตรวจอย่างละเอียด แพทย์พบว่ามี ก้อนเนื้องอกในมดลูก ขนาดใหญ่ แม้ว่าเนื้องอกในมดลูกส่วนใหญ่จะเป็นก้อนเนื้อธรรมดา ไม่ใช่มะเร็ง แต่หากปล่อยทิ้งไว้โดยไม่รักษา อาจทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อน เช่น โลหิตจางจากการเสียเลือดเรื้อรัง ปวดท้องเรื้อรัง กดเบียดกระเพาะปัสสาวะหรืออวัยวะข้างเคียง และที่สำคัญอาจส่งผลต่อคุณภาพชีวิตอย่างมากทีมแพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านสูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา ได้วางแผนในการรักษา และผ่าตัดด้วยวิธี TAH with BS (Total Abdominal Hysterectomy with Bilateral Salpingectomy) หรือการผ่าตัดมดลูกพร้อมท่อนำไข่ออกทั้งสองข้าง ซึ่งเป็นมาตรฐานการรักษาที่ปลอดภัยและเหมาะสมในเคสนี้ เพื่อป้องกันการกลับมาเป็นซ้ำและลดความเสี่ยงในอนาคตทีมแพทย์ผู้ดูแล• พญ. ขวัญฤทัย นามภักดีอนันต์• พญ. วินียา ศุขนิคมแพทย์ผู้ชำนาญการ สูติศาสตร์และนรีเวชวิทยา อนุสาขามะเร็งวิทยานรีเวชการผ่าตัดเป็นไปอย่างเรียบร้อย หลังพักฟื้นไม่กี่วัน สามารถกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ อาการปวดท้องและเลือดออกมากผิดปกติหมดไป กลับมามีคุณภาพชีวิตที่ดีอีกครั้งเรื่องราวนี้สะท้อนให้เห็นว่า “การตรวจสุขภาพประจำปีของผู้หญิงสำคัญมาก” เพราะหลายครั้งอาการเริ่มต้นอาจถูกมองข้ามว่าเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่แท้จริงแล้วอาจซ่อนปัญหาใหญ่เอาไว้ การพบแพทย์ตั้งแต่เนิ่นๆ ทำให้รักษาได้ตรงจุดและปลอดภัยกว่า

ผ่าตัดมะเร็งเต้านมแบบสงวนเต้าและเลาะต่อมน้ำเหลือง

ผ่าตัดมะเร็งเต้านมแบบสงวนเต้าและเลาะต่อมน้ำเหลือง

ผ่าตัดมะเร็งเต้านมแบบสงวนเต้าและเลาะต่อมน้ำเหลือง คืนความมั่นใจให้ผู้หญิงผู้ป่วยหญิงรายหนึ่งเข้ารับการตรวจสุขภาพ พบก้อนเนื้อที่เต้านมจากการตรวจ แมมโมแกรมร่วมกับอัลตราซาวนด์เต้านม หลังการวินิจฉัย ทีมแพทย์โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรีได้วางแผนการรักษาด้วยเทคนิคทันสมัย “การผ่าตัดมะเร็งเต้านมแบบสงวนเต้าและเลาะต่อมน้ำเหลือง” Excision breast mass with axillary lymph node dissection.การผ่าตัดแบบสงวนเต้าคืออะไร คือเทคนิคเลาะเฉพาะก้อนเนื้อและเนื้อเยื่อที่จำเป็น เก็บรักษาเต้านมไว้ โดยตรวจสอบต่อมน้ำเหลืองอย่างละเอียด เพื่อประเมินการกระจายของโรคลดผลกระทบด้านภาพลักษณ์และจิตใจ พร้อมคงคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยให้มากที่สุดเคสผู้ป่วยท่านนี้ดูแลโดยทีมแพทย์ผู้ชำนาญการ- พญ.ชนินพร แสงศรี แพทย์ผู้ชำนาญการ สาขาศัลยศาสตร์ อนุสาขาศัลยศาสตร์ศีรษะ คอ และเต้านมและแพทย์ร่วมผ่าตัด- นพ.ธวัชชัย ไตรมิตรวิทยากุล แพทย์ผู้ชำนาญการ สาขาศัลยศาสตร์#เพราะการรักษาไม่ได้จบแค่ในห้องผ่าตัด แต่ยังหมายถึงการคืนความมั่นใจ การใช้ชีวิตประจำวัน การทำงาน และการเข้าสังคมได้ใกล้เคียงเดิมที่สุด อย่ารอให้สายเกินไป…เพราะการรู้เร็ว คือการเพิ่มโอกาสให้คุณกลับมาใช้ชีวิตได้อย่างมั่นใจอีกครั้ง