โรคหัวใจจากฝุ่น PM 2.5

โรคหัวใจจากฝุ่น PM2.5

นพ.ชาติทนง ยอดวุฒิ อายุรแพทย์โรคหัวใจ โรงพยาบาลหัวใจกรุงเทพ เปิดเผยว่า PM2.5 นับเป็นสารอนุมูลอิสระ (Free Radical) เช่นเดียวกับบุหรี่ และ บุหรี่ไฟฟ้า ที่ก่อให้เกิดโรคเรื้อรัง อาทิ โรคหลอดเลือดหัวใจ ตีบ ตัน หรือ โรคทางปอด สัมพันธ์กับปริมาณที่ได้รับอย่ามีนัยยะสำคัญ ซึ่งฝุ่น PM2.5 จะเข้าไปกระตุ้นการเกิดอักเสบของหลอดเลือดและการเกิดลิ่มเลือดในร่างกาย ถ้าปริมาณสูงมากพอและเกิดการสูดดมสะสมจะเกิดการเปลี่ยนแปลงของหลอดเลือดชัดเจน

ผลกระทบจาก PM2.5 แบ่งเป็น 2 อาการ

  • หลอดเลือดเสื่อมสภาพ หนาตัวขึ้น กล้ามเนื้อหดตัว แข็งขึ้นยืดหยุ่นน้อยลง
  • ส่งผลต่อเกร็ดเลือดทำให้เกิดการสลายลิ่มเลือดยากขึ้น และเกร็ดเลือดเกาะกลุ่มได้ง่ายขึ้น

อย่างไรก็ตามเมื่อปัจจัย 2 มาเจอกันก็จะทำให้เกิดโรคหลอดเลือดตีบตันนั้นเอง

โรคหัวใจจาก ฝุ่น PM2.5 ไม่ได้เกี่ยวกับอายุ ?

นพ.ชาติทนง กล่าวว่า การก่อโรคจากฝุ่น PM 2.5 ไม่ได้เกี่ยวกับอายุ แต่เกี่ยวกับปริมาณที่ได้รับจนเกิดการสะสมในร่างกาย โดยกลุ่มที่เป็นโรคประจำตัว อย่างหอบหืด เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ก็ย่อมเสี่ยงมากกว่าคนกลุ่มอื่นเนื่องจากมีความเซนซิทีฟสูง

อย่างไรก็ตาม คนที่สุขภาพดีก็ไม่ใช่ว่าจะปลอดภัยเพราะหากได้รับในปริมาณสูงมากพอก็จะมีการพัฒนาของหลอดเลือด เพราะล่าสุดเวชศาสตร์การกีฬา ได้ออกมาเตือนว่า ถึงแม้จะเป็นนักกีฬาที่แข็งแรงมากแค่ไหน ถ้าฝุ่น PM2.5 เกิน 50 ไมโครกรัม ควรจะใส่หน้ากากอนามัยออกกำลังกายหรือหลีกเลี่ยงกิจกรรมกลางแจ้ง

นพ.ชาติทนง ยังเปิดเผยว่าขณะนี้แพทย์ทั่วโลกกำลังจะยกระดับ PM2.5 เป็นปัจจัยเสี่ยงระดับต้นๆ เทียบเท่ากับบุหรี่ ในการจะทำให้เกิดโรคหลอดเลือดหัวใจ มีผลอย่างนัยยะสำคัญหรือกระตุ้นโรคประจำตัว

สัญญาณเตือนแบบพิษฉับพลันPM2.5

  • วิงเวียน
  • หน้ามืด
  • คลื่นไส้
  • เลือดกำเดาไหล

ขณะที่การก่อโรคเรื้อรังอย่างเลือดเลือดหัวใจจะเป็นในลักษณะการสะสมโรคจึงมักจะไม่แสดงในระยะแรกๆ การตรวจสุขภาพจึงเป็นเรื่องสำคัญโดยเฉพาะสุขภาพของหัวใจ

ปัจจุบันมีหลากหลายเทคโนโลยีที่แม่นยำ อาทิ การตรวจสมรรถภาพการทำงานของหัวใจโดยการวิ่งบนสายพาน (Exercise Stress Test) ,การตรวจสมรรถภาพหัวใจด้วยคลื่นความถี่สูง (Echocardiogram) หรือการตรวจวัดระดับแคลเซียมบริเวณผนังหลอดเลือดหัวใจ (CT Coronary Calcium Score) เพื่อการตรวจระดับน้ำตาลในเลือด ระดับน้ำตาลเฉลี่ยสะสม การทำงานของไต ระดับไขมันคอเลสเตอรอล ระดับไขมันความหนาแน่นสูง-ต่ำ และระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์ในเลือด ให้เราสามารถรู้ทันความเสี่ยง หาพบแนวโน้มที่จะเป็นโรคหัวใจในอนาคตไม่ว่าจะจากปัจจัยไหนก็ตาม

ขอบคุณข้อมูลจาก : BDMS สถานีสุขภาพ

บทความที่เกี่ยวข้อง

ตรวจหาคราบหินปูนหลอดเลือดหัวใจ

ตรวจหาคราบหินปูนหลอดเลือดหัวใจ

ตรวจหาคราบหินปูนหลอดเลือดหัวใจ Coronary Calcium Scan (CAC) ภาวะหลอดเลือดแดงของหัวใจแข็ง การตรวจหาคราบหินปูนที่หลอดเลือดแดงของหัวใจ (Coronary Artery Calcium Scan หรือ CAC) เป็นการตรวจหาหลักฐานของภาวะหลอดเลือดแดงของหัวใจแข็ง (Atherosclerosis of Coronary Artery) การที่หลอดเลือดแดงแข็งเป็นผลมาจากการอักเสบเรื้อรังร่วมกับภาวะหลอดเลือดแดงเสื่อมที่เป็นมาระยะเวลานานพอสมควรประมาณ 2 – 5 ปี สาเหตุจากโรคเบาหวาน ความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง บุหรี่ โรคอ้วนลงพุง หรือกรรมพันธุ์ ทำให้หลอดเลือดแข็งขึ้นจากการอักเสบเรื้อรัง และสุดท้ายเป็นแคลเซียมไปเกาะที่หลอดเลือด ทำให้ความยืดหยุ่นของหลอดเลือดเสียไป รวมทั้งมีการตีบของหลอดเลือด การพัฒนาของหลอดเลือดจนกลายเป็นคราบหินปูนเกาะตามหลอดเลือด การบ่งบอกได้ว่าผู้ป่วยมีภาวะหลอดเลือดแข็งนั้นสามารถประเมินและวินิจฉัยได้โดยการส่งตรวจ Computerized Coronary Calcium Scan ซึ่งจะสามารถบอกได้ในผู้ป่วยที่เป็นเรื้อรังเท่านั้น ในคนที่เป็นแบบเฉียบพลันอาจจะไม่สามารถบอกได้ เนื่องจากเป็นรอยโรคใหม่ จุดสังเกตแคลเซียมหรือหินปูน สำหรับพยาธิสภาพของหลอดเลือดหัวใจที่มีแคลเซียมหรือหินปูน เริ่มต้นจาก ลักษณะของแคลเซียมที่หลอดเลือดหัวใจเริ่มตั้งแต่เป็นจุด (Fine Speckles) กลุ่มของจุดที่กระจาย (Fragmented) เล็ก ๆ (0.5 – 15.0 µm) เป็นรอยโรคที่เกิดใหม่มีความเสี่ยงต่อ Heart Attack หรือกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันหรือโรคหลอดเลือดหัวใจตีบรุนแรงหรือตัน เมื่อแคลเซียมเพิ่มมากขึ้นเป็นเส้นตามแนวหลอดเลือด (Diffuse Calcification) เมื่อแคลเซียมเพิ่มมากขึ้นเป็นปื้นหรือแผ่นของแคลเซียม (Sheet of Calcification) ที่ขนาดมากกว่า 3 มิลลิเมตร ซึ่งหมายถึงการเป็นเรื้อรังมานาน โดยสรุปการบอกแคลเซียมหรือคราบหินปูนที่เกิดขึ้นเป็นของใหม่ที่เพิ่งเกิด หรือเป็นของเก่าพอมีลักษณะที่บอกได้ จากลักษณะเริ่มเป็นจุด เส้น ๆ กลายเป็นหนา และกลายเป็นแผ่นหนาขึ้น การตรวจวินิจฉัย การตรวจวินิจฉัยคราบหินปูนในผนังเส้นเลือดหัวใจที่หนาตัว (CAC) ทำให้หลอดเลือดแดงหัวใจตีบแคบลง เลือดไหลเวียนไม่เพียงพอ ทำให้เกิดอาการเจ็บแน่นหน้าอก การทำ Coronary Calcium Scan เป็นวิธีการตรวจเบื้องต้นที่ง่าย ไม่ต้องฉีดสี ใช้เวลาในการตรวจประมาณ 10 – 15 นาที มีประโยชน์ในการประเมินความเสี่ยงของการเกิดโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดในอนาคตที่มีสาเหตุจากหลอดเลือดหัวใจตีบ โดยประเมินร่วมกับปัจจัยเสี่ยงอื่น รวมทั้งอาการและอาการแสดงของผู้ป่วยมาประกอบในการวางแนวทางการตรวจรักษาที่เหมาะสมต่อไป ผู้ที่ควรตรวจ Coronary Calcium Scan ข้อบ่งชี้ในการทำ Coronary Calcium Scan ในผู้ที่มีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหัวใจน้อยถึงปานกลาง ได้แก่ ประวัติครอบครัวเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ เพศชายอายุ 40 ปีขึ้นไป เพศหญิงอายุ 50 ปีขึ้นไปหรือวัยหมดประจำเดือน ความดันโลหิตสูง เบาหวาน โรคอ้วนลงพุง ไขมันในเส้นเลือดสูง สูบบุหรี่ เทคนิคการทำ Coronary Calcium Scan การตรวจหาคราบหินปูนที่หลอดเลือดแดงของหัวใจ (Coronary Artery Calcium Scan หรือ CAC) เป็นการใช้คอมพิวเตอร์โดยใช้เทคโนโลยีเอกซเรย์พิเศษที่เรียกว่า Multidetector Row หรือ Multislice Computerized Tomography (CT) ซึ่งสแกนภาพหลายภาพของคราบหินปูนที่สะสมอยู่ที่เส้นเลือด การทดสอบการถ่ายภาพจะดูที่ระดับของคราบหินปูนที่สะสมอยู่ คราบหินปูนประกอบด้วยไขมัน คอเลสเตอรอล แคลเซียม และสารอื่น ๆ ในเลือด ซึ่งจะค่อย ๆ พัฒนาเกาะเพิ่มขึ้นกลายเป็นแผ่นหนาใหญ่ขึ้น จนทำให้เห็นคราบหินปูนที่ชัดเจนขึ้น Coronary Calcium Scan กับความเสี่ยง การสแกนหัวใจใช้เทคโนโลยี X – Ray ซึ่งมีปริมาณรังสีค่อนข้างน้อย (ประมาณ 1 Millisievert) เวลาที่ใช้ในการตรวจเพียง 10 – 15 นาทีเท่านั้น การเตรียมตัวก่อนเข้ารับการตรวจ ไม่ต้องงดน้ำหรืออาหารก่อนรับการตรวจ หลีกเลี่ยงยาหรือสารที่กระตุ้นหัวใจให้ชีพจรเร็วขึ้น ได้แก่ งดชา กาแฟ หรือเครื่องดื่มที่มีคาเฟอีนเป็นส่วนประกอบ งดสูบบุหรี่อย่างน้อย 4 ชั่วโมงก่อนตรวจ เปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดคลุมของโรงพยาบาล ถอดเครื่องประดับรอบคอหรือแผ่นต่าง ๆ ที่ติดบริเวณหน้าอก ขั้นตอนระหว่างทำ Coronary Calcium Scan แพทย์จะตรวจ / บันทึกคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG หรือ EKG) ซึ่งจะบันทึกการเต้นของหัวใจในระหว่างการทำ Coronary Calcium Scan ท่านอนจะต้องนอนหงายและต้องกลั้นหายใจนิ่งเพื่อให้ภาพมีความชัดเจน โดยผู้ป่วยอาจจะต้องกลั้นหายใจประมาณ 2 – 10 วินาที ในช่วงที่ถ่ายภาพ กรณีที่อัตราการเต้นของหัวใจผู้ป่วยเต้นเร็วมาก แพทย์อาจพิจารณาให้ยาควบคุมอัตราการเต้นของหัวใจเพื่อให้หัวใจเต้นในเกณฑ์ปกติ ขั้นตอนทั้งหมดใช้เวลาประมาณ 10 – 15 นาที การปฏิบัติตัวหลังทำ Coronary Calcium Scan ไม่มีข้อควรระวังเป็นพิเศษหลังทำ Coronary Calcium Scan สามารถขับรถกลับบ้านได้และทำกิจวัตรประจำวันต่าง ๆ ได้ตามปกติ การแปลผล Coronary Calcium Scan การแปลผลปริมาณหินปูนมีความสัมพันธ์กับโอกาสเป็นโรคหลอดเลือดแดงหัวใจตีบหรืออุดตัน โดยใช้การแปลผลจากคะแนน Agatston Score คะแนน 0 หมายความว่า ไม่มีแคลเซียมที่หลอดเลือดแดงหัวใจ แสดงว่าโอกาสต่ำในการเกิด Heart Attack หรือกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลันหรือโรคหลอดเลือดหัวใจตีบรุนแรงหรือตันในอนาคตน้อย คะแนน 1 – 100 หมายความว่า มีแคลเซียมที่หลอดเลือดแดงหัวใจน้อย มีความเสี่ยงน้อยที่จะเกิด Heart Attack หรือกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน หรือโรคหลอดเลือดหัวใจตีบรุนแรงหรือตัน ดูแลเรื่องอาหารและการออกกำลังกาย คะแนน 101 ถึง 400 หมายความว่า มีแคลเซียมที่หลอดเลือดแดงหัวใจระดับปานกลาง มีความเสี่ยงปานกลางถึงสูงที่จะเป็นในการเกิด Heart Attack หรือกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน หรือโรคหลอดเลือดหัวใจตีบรุนแรงหรือตัน ต้องได้รับคำแนะนำจากแพทย์เพื่อพิจารณาในการตรวจรักษา คะแนนตั้งแต่ 400 ขึ้นไป หลอดเลือดแดงหัวใจอาจมีภาวะหลอดเลือดตีบแอบแฝงอยู่ มีความเสี่ยงต่อการเกิดหลอดเลือดหัวใจตีบสูงมาก รวมทั้ง Heart Attack หรือกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดเฉียบพลัน หรือโรคหลอดเลือดหัวใจตีบรุนแรงหรือตัน แม้ว่าจะมีอาการหรือไม่ก็ตาม ซึ่งต้องได้รับคำแนะนำจากแพทย์เพื่อพิจารณาในการตรวจรักษาเพิ่มเติม CAC Score 10 – Year Mortality Risk Guidance Reassure 0 Very Low (<1%) Reassure; maintenance of healthy diet and lifestyle. 1 – 100 Low (<10%) Maintenance of healthy diet and lifestyle 101 – 400 Moderate (10–20%) Aspirin recommended Statins considered reasonable 101-400 & >75th centile Moderately High (15-20%) Reclassify as high risk Aspirin recommended Statins considered reasonable >400 High (>20%) Aspirin recommended Statin recommended, to achieve target LDL <2.0 mmol/L Consider functional assessment. * Suggested management based on CAC results for asymptomatic patients Source: 2017 CSANZ Calcium Score Position Statement ขอบคุณข้อมูลจาก : เว็บไซต์ bangkokhearthospital

การตรวจอัลตร้าซาวด์หัวใจ (Echocardiogram)

การตรวจอัลตร้าซาวด์หัวใจ (Echocardiogram)

การตรวจอัลตร้าซาวด์หัวใจ (Echocardiogram) การตรวจ ECHO หัวใจ (Echocardiogram หรือ Echocardiography) เป็นการตรวจการทำงานของหัวใจ เช่น ขนาดของห้องภายในหัวใจ การไหลเวียนของเลือดภายในหัวใจ การบีบตัวของกล้ามเนื้อหัวใจ การทำงานของลิ้นหัวใจ ภาวะน้ำในเยื่อหุ้มหัวใจ ช่องหัวใจโต และตรวจหาภาวะหัวใจพิการแต่กำเนิด ซึ่งอาจเป็นสาเหตุของอาการเหนื่อยง่าย หรือแน่นหน้าอก และดูตำแหน่งของหลอดเลือดต่างๆ ที่คอยสูบฉีดเลือดจากหัวใจไปเลี้ยงเซลล์และอวัยวะต่างๆ ด้วยคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูง คำแนะนำสำหรับผู้รับการตรวจ 1. ควรมาถึงก้อนเวลานัด 15 นาที พร้อมยื่นใบนัดที่แผนกเวชระเบียน 2. ใช้เวลาในการตรวจพิเศษ ประมาณ 1 ชั่วโมง ขั้นตอนต่างๆจะแจ้งให้ทราบก่อนเริ่มการทดสอบ 3. ควรพักผ่อนให้เพียงพอช่วงก่อนวันนัด หากผู้ป่วยมีไข้ อ่อนเพลีย หรืออาการกำเริบ โปรดสอบถามแพทย์หรือแจ้งเจ้าหน้าที่ 4. ไม่ต้องงดน้ำไม่ต้องงดอาหารและไม่ต้องงดยา สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์โรคหัวใจและหลอดเลือด โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี 039-319888

EP.1 : เปิดห้องผ่าตัดหัวใจแบบเปิด

EP.1 : เปิดห้องผ่าตัดหัวใจแบบเปิด

EP.1 : เปิดห้องผ่าตัดหัวใจแบบเปิด — ความต่างที่ไม่เหมือนการผ่าตัดใดๆ “#เบื้องหลังการผ่าตัดที่แพทย์ต้อง ‘#หยุดหัวใจ’ ของผู้ป่วย เพื่อซ่อมแซมและทำให้กลับมาเต้นได้อีกครั้ง”การผ่าตัดหัวใจแบบเปิด (Open Heart Surgery) เป็นหนึ่งในหัตถการที่ซับซ้อนที่สุดในทางการแพทย์ แตกต่างจากการผ่าตัดทั่วไปทั้งในแง่สถานที่ เครื่องมือ ทีมบุคลากร และกระบวนการที่ต้องประสานงานอย่างแม่นยำทุกวินาที⸻1. #ห้องผ่าตัดที่ใหญ่และซับซ้อนกว่าห้องผ่าตัดหัวใจต้องมีพื้นที่กว้างเป็นพิเศษเพื่อรองรับเครื่องมือจำนวนมาก และต้องมีมาตรการความปลอดภัยสูงสุด เช่น• ระบบแรงดันอากาศ (Air Pressure) เพื่อป้องกันการปนเปื้อน• ระบบไฟฟ้าและก๊าซสำรอง เพื่อให้เครื่องมือทำงานต่อเนื่องแม้เกิดเหตุฉุกเฉิน• ระบบบันทึกและการสื่อสาร เพื่อรายงานข้อมูลสำคัญให้ทีมทั้งหมดรับรู้พร้อมกันในระหว่างผ่าตัด⸻2. #เครื่องมือสำคัญที่ทำงานแทนหัวใจและปอด#หัวใจผู้ป่วยจะถูก “#หยุดชั่วคราว” เพื่อเปิดทางให้ศัลยแพทย์ทำงานได้อย่างปลอดภัย โดยมีเครื่องจักรและระบบสำคัญคอยสนับสนุน ได้แก่• Heart-Lung Machine (เครื่องปอด-หัวใจเทียม): สูบฉีดเลือดและเติมออกซิเจนแทนหัวใจและปอด• Monitoring System: ติดตามสัญญาณชีพแบบเรียลไทม์ เช่น คลื่นไฟฟ้าหัวใจ ความดัน ออกซิเจน และอุณหภูมิ• เครื่องจี้ไฟฟ้าและเครื่องควบคุมการเสียเลือด• Cell Saver: เก็บเลือดของผู้ป่วยเพื่อนำกลับมาใช้ ลดการพึ่งพาเลือดสำรอง⸻3. #ทีมผ่าตัดขนาดใหญ่และเฉพาะทางห้องผ่าตัดหัวใจมีทีมหลายสิบชีวิตทำงานร่วมกัน ได้แก่• ศัลยแพทย์หัวใจและทรวงอก ผู้ทำการผ่าตัดหลัก• วิสัญญีแพทย์เฉพาะทางหัวใจ ดูแลยาสลบ สมดุลเกลือแร่และการทำงานของอวัยวะ• Perfusionist ผู้เชี่ยวชาญควบคุมเครื่องปอด-หัวใจเทียม• พยาบาลเฉพาะทางห้องผ่าตัด (Scrub Nurse และ Circulating Nurse)• ทีมสนับสนุน เช่น นักเทคนิคการแพทย์, ช่างเทคนิค และทีม ICU ที่เตรียมพร้อมรับช่วงหลังผ่าตัดทันที⸻4. #ระบบ Lab ในห้องผ่าตัดห้องผ่าตัดหัวใจมีระบบ Lab อยู่ภายในเพื่อเจาะและตรวจเลือดได้ทันที โดยผลที่สำคัญ อาทิ• ค่ากรด-ด่าง (ABG)• ค่าเกลือแร่ (Electrolyte)• การแข็งตัวของเลือด (Coagulation)• ค่า Hematocrit/Hemoglobinหากพบค่าที่ผิดปกติระดับ Critical Value ผลจะถูกส่งถึงทีมผ่าตัดทันทีเพื่อปรับการรักษาแบบเรียลไทม์ เช่น การให้เลือดหรือยา⸻5. #เทคนิคการดูแลหัวใจระหว่างผ่าตัด• ใช้สารละลาย Cardioplegia ทำให้หัวใจหยุดเต้นอย่างปลอดภัย และช่วยลดการใช้ออกซิเจนของกล้ามเนื้อหัวใจ• ควบคุมอุณหภูมิร่างกายผู้ป่วยให้อยู่ในระดับ Mild Hypothermia เพื่อชะลอการเผาผลาญและป้องกันการบาดเจ็บของอวัยวะ• ใช้ Heparin ป้องกันการเกิดลิ่มเลือดในเครื่องปอด-หัวใจเทียม พร้อมตรวจ Coagulation ตลอดการผ่าตัดเพื่อควบคุมสมดุล⸻6. #เวลาและความแม่นยำการผ่าตัดหัวใจแบบเปิดใช้เวลาหลายชั่วโมง แต่ทุกนาทีถูกออกแบบอย่างเป็นระบบ ทีมแพทย์และเครื่องมือทำงานร่วมกันเหมือน “วงออร์เคสตรา” ที่ต้องแม่นยำไร้ข้อผิดพลาด เพื่อให้หัวใจที่หยุดลงชั่วคราว กลับมาเต้นอีกครั้งอย่างแข็งแรง

ปัญหาช่องปาก เรื่องใหญ่ของผู้ป่วยโรคหัวใจ

ปัญหาช่องปาก เรื่องใหญ่ของผู้ป่วยโรคหัวใจ

กรมการแพทย์ โดยสถาบันโรคทรวงอก แนะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเสี่ยง ลดปัญหาสุขภาพช่องปาก เตือนผู้ป่วยโรคหัวใจควรใส่ใจสุขภาพช่องปากมากกว่าคนทั่วไป หากละเลยเสี่ยงติดเชื้อในกระแสเลือดอันตรายต่อชีวิต สุขภาพช่องปาก เป็นเรื่องที่ทุกคนต้องให้ความสำคัญโดยเฉพาะผู้ป่วยโรคหัวใจ เนื่องจากปัญหาโรคเหงือกและฟันมีความเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจ หากพบว่าในช่องปากมีโรคเหงือก ฟันผุ หรือหนองจากฟันผุทะลุโพรงประสาทฟัน จะทำให้เกิดอาการปวดฟัน รากฟันอักเสบเป็นหนอง และอาจเกิดการติดเชื้อจากแบคทีเรียแทรกซึมเข้าสู่กระแสเลือดไปตามอวัยวะต่างๆ รวมถึงหัวใจ ทำให้เกิดพยาธิสภาพที่หัวใจได้ ปัจจัยเสี่ยงปัญหาสุขภาพช่องปาก การสูบบุหรี่ ทำให้เกิดปัญหากลิ่นปาก โรคปริทันต์อักเสบ การรับประทานของหวาน ของว่างระหว่างมื้อบ่อยๆ อาจทำให้เกิดฟันผุ ฟันผุทะลุโพรงประสาทฟัน การเคี้ยวของแข็ง ส่งผลทำให้ฟันบิ่น หรือฟันแตก การรับประทานยาหลายชนิด อาจทำให้เกิดภาวะปากแห้ง การแปรงฟันแรง แปรงฟันไม่ถูกวิธี อาจทำให้ฟันสึก หรือฟันผุ ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเหล่านี้ เพื่อลดความเสี่ยงปัญหาสุขภาพช่องปากในอนาคต สำหรับข้อควรระวัง และการเตรียมตัวในการทำฟันของผู้ป่วยโรคหัวใจ ควรปรึกษาแพทย์ประจำตัว ขอใบรับรองแพทย์เพื่อยืนยันว่าสามารถทำฟันได้หรือไม่ รวมถึงข้อควรระวัง ชนิดของโรคหัวใจที่เป็น และยาที่รับประทานอยู่ ต้องแจ้งทันตแพทย์ทุกครั้งเกี่ยวกับชนิดของโรคหัวใจ ยาที่รับประทาน รวมถึงปัญหาที่ผู้ป่วยเคยมีในการทำฟัน เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาซ้ำ ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ประจำตัวและทันตแพทย์อย่างเคร่งครัดในการปรับ หรืองดยาละลายลิ่มเลือด การเจาะเลือดก่อนการทำฟัน การรับประทานยาปฏิชีวนะก่อนทำฟัน และการปฏิบัติตนภายหลังการทำฟัน ผู้ป่วยไม่ควรหยุดยาใดๆมาเอง หากไม่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์หรือทันตแพทย์ วิธีการดูแล และป้องกันการเกิดปัญหาสุขภาพช่องปากที่ควรปฏิบัติ แปรงฟันอย่างถูกวิธีด้วยแปรงสีฟันขนนุ่มและยาสีฟันที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์ วันละ 2 ครั้ง เช้าและก่อนนอน ใช้ไหมขัดฟัน หรือแปรงซอกฟันเพื่อทำความสะอาดบริเวณด้านประชิดของฟัน ที่สำคัญทั้งผู้ป่วยโรคหัวใจและคนที่สุขภาพร่างกายแข็งแรงควรพบทันตแพทย์ตามนัดหมายเป็นประจำทุก 6 เดือน หากปรับพฤติกรรมที่ไม่ดีร่วมกับการดูแลฟันอย่างถูกวิธีตามคำแนะนำของแพทย์ ก็สามารถช่วยลดปัญหาสุขภาพช่องปากในระยะยาวลงได้ ขอบคุณข้อมูลจาก : สถาบันโรคทรวงอก และ BDMS สถานีสุขภาพ

EP.2 ทีมหอผู้ป่วยวิกฤต ICU ดูแลผู้ป่วยผ่าตัดหัวใจ

EP.2 ทีมหอผู้ป่วยวิกฤต ICU ดูแลผู้ป่วยผ่าตัดหัวใจ

EP.2 : #ทีมหอผู้ป่วยวิกฤต ICU ดูแลผู้ป่วยผ่าตัดหัวใจ “เมื่อการผ่าตัดสิ้นสุดลง… การดูแลที่เข้มข้นที่สุดเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น”ดูแลผู้ป่วยผ่าตัดหัวใจ — #จุดเริ่มต้นของการฟื้นตัวหลังการผ่าตัดหลังจากหัวใจผู้ป่วยถูกซ่อมแซมและกลับมาเต้นอีกครั้ง ขั้นตอนต่อมาคือการย้ายเข้าสู่ ICU หัวใจ (Cardiac Intensive Care Unit) ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของการฟื้นตัวใน 24–72 ชั่วโมงแรก⸻1. #ห้องและอุปกรณ์เฉพาะทาง ICU ที่มากกว่าห้อง ICUICU สำหรับดูแลผู้ป่วยหัวใจแตกต่างจาก ICU ทั่วไป เพราะต้องออกแบบให้รองรับผู้ป่วยผ่าตัดหัวใจโดยตรง• Bedside Monitoring: เครื่องเฝ้าติดตามสัญญาณชีพตลอด 24 ชั่วโมง (คลื่นไฟฟ้าหัวใจ ความดันเลือด ออกซิเจนในเลือด อุณหภูมิ)• Invasive Line: ท่อวัดความดันในหลอดเลือดใหญ่และหัวใจ เพื่อให้ได้ค่าที่ละเอียดมากขึ้น• Ventilator (เครื่องช่วยหายใจ): รองรับกรณีผู้ป่วยยังไม่สามารถหายใจเองได้เต็มที่หลังผ่าตัด• Infusion Pump & Syringe Pump: ควบคุมยาอย่างแม่นยำ ทั้งยาควบคุมความดัน ยาป้องกันหัวใจเต้นผิดจังหวะ และยาสำคัญอื่น ๆ• Temporary Pacemaker: เครื่องกระตุ้นหัวใจชั่วคราว เผื่อหัวใจเต้นช้าหรือผิดปกติในช่วงแรก• ระบบ Lab ข้างเตียง (Point-of-Care Testing): ตรวจค่าเลือด เกลือแร่ และก๊าซในเลือดได้ทันที⸻2. ทีมดูแล ICU หัวใจ • แพทย์ผู้เชี่ยวชาญด้านหัวใจและวิสัญญี: ติดตามอาการผู้ป่วยและตัดสินใจเชิงวิกฤต• พยาบาลวิชาชีพเฉพาะทางด้าน ICU หัวใจ: เป็นผู้ดูแลใกล้ชิดที่สุดกับผู้ป่วย ตลอด 24 ชั่วโมง• นักกายภาพบำบัด: เริ่มกระบวนการฟื้นฟูการหายใจและการเคลื่อนไหวตั้งแต่วันแรก• โภชนากรและทีมสหสาขา: วางแผนอาหารและการฟื้นฟูโภชนาการหลังผ่าตัด⸻3. #ทักษะสำคัญของทีมพยาบาล ICU หัวใจพยาบาล ICU ไม่ได้แค่เฝ้าดูอาการ แต่ต้องมีทักษะเชิงลึกในการดูแลผู้ป่วยวิกฤตหัวใจ เช่น• การตีความสัญญาณชีพและคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG): สามารถแยกแยะอาการผิดปกติได้ตั้งแต่วินาทีแรก• การจัดการท่อและสายต่าง ๆ: เช่น ท่อช่วยหายใจ สายน้ำเกลือ สายระบายเลือดและน้ำในทรวงอก (Chest Tube)• การให้ยาผ่านเครื่อง Infusion Pump: ต้องแม่นยำสูงเพราะยาที่ใช้ใน ICU หัวใจมีผลต่อชีวิตแบบเฉียบพลัน• การประเมินอาการเจ็บปวดและภาวะแทรกซ้อน: เช่น ภาวะเลือดออกติดเชื้อ หัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือภาวะไตทำงานลดลง• การสื่อสารกับครอบครัว: ถ่ายทอดข้อมูลที่เข้าใจง่าย เพื่อให้ญาติผู้ป่วยร่วมเป็นส่วนหนึ่งของการฟื้นฟู⸻4. #ความท้าทายของ ICU ช่วง 24 ชั่วโมงแรกหลังผ่าตัดคือช่วงเวลาที่เปราะบางที่สุด ทีมต้องเฝ้าระวังภาวะแทรกซ้อนทุกรูปแบบ ทั้งการเสียเลือด ความดันตก หัวใจเต้นผิดจังหวะ และการติดเชื้อ การทำงานจึงต้องใช้ทั้ง ทักษะ ความเร็ว และความละเอียดรอบคอบ ไปพร้อมกัน

ทำไมคนรุ่นใหม่เป็นโรคหัวใจมากขึ้น

ทำไมคนรุ่นใหม่เป็นโรคหัวใจมากขึ้น

ทำไมคนรุ่นใหม่เป็นโรคหัวใจมากขึ้น โรคหัวใจ (Heart Disease) หลายคนคงนึกว่าเหมารวมเพียงแต่โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ หรือ ภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน เนื่องจากเป็นโรคที่พบบ่อยที่สุดในบรรดากลุ่มโรคหัวใจ จากการรายงานสถิติขององค์การอนามัยโลก (WHO) ในปี 2563 พบว่า กลุ่ม "โรคหัวใจ" และหลอดเลือดเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ของคนทั่วโลก หรือประมาณ 17.9 ล้านคน และจากสถิติในประเทศไทย พบผู้เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือดมากถึง 6 หมื่นรายต่อปี เฉลี่ยชั่วโมงละ 2 คน นอกจากนี้ยังมีโรคที่เกิดขึ้นกับหัวใจได้อีกมากมาย อาทิ โรคกล้ามเนื้อหัวใจ โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ โรคลิ้นหัวใจ โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด และโรคติดเชื้อบริเวณหัวใจ เป็นต้น รู้หรือไม่ ? ทำไมคนรุ่นใหม่ถึงเป็นโรคหัวใจมากขึ้น ในอดีตโรคหลอดเลือดหัวใจมักเกิดในผู้สูงอายุ แต่ปัจจุบันเราพบว่าหนุ่มสาววัยทำงานนั้นมีความเสี่ยงเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจสูงขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากหลายปัจจัย โดยเฉพาะไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป ทำให้มีการเคลื่อนไหวร่างกายน้อยลง ขาดการออกกำลังกาย อยู่ในภาวะเครียด พักผ่อนน้อย ยิ่งหากใครที่สายปาร์ตี้ด้วยแล้วยิ่งเพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจมากขึ้นไปอีก ส่วนปัจจัยที่นอกเหนือจากพฤติกรรมก็มีอยู่บ้าง เช่น โรคประจำตัว อาทิ โรคเบาหวาน หรือมีภาวะไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง พันธุกรรม สัญญาณเตือน “โรคหัวใจ” เหนื่อยง่ายเวลาออกแรง เดินเร็วๆ หรือออกกําลังกาย หายใจเข้าลำบาก อาจจะเป็นตลอดเวลา เป็นขณะออกกำลังกาย ตอนใช้แรงมากๆ หรือเป็นเฉพาะในเวลากลางคืนขณะพักผ่อน เจ็บหน้าอกหรือแน่นบริเวณกลางอก เจ็บหน้าอกด้านซ้ายบริเวณหัวใจหรือทั้ง 2 ข้างจนไม่สามารถนอนราบได้ตามปกติ เพราะจะรู้สึกเหนื่อยเวลาหายใจและอึดอัดตรงหน้าอก หายใจหอบ จนบางครั้งต้องตื่นขึ้นมาหอบกลางดึก เป็นลมหมดสติโดยไม่ทราบสาเหตุ ขาหรือเท้าบวมโดยไม่ทราบสาเหตุ ปลายมือ ปลายเท้า และริมฝีปากมีสีเขียวคล้ำ หากมีอาการดังกล่าวแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นโรคหัวใจหรือไม่ ? อาศัยการซักประวัติ สอบถามอาการและปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่น่าสงสัย ตรวจร่างกายในทุกระบบที่เกี่ยวข้อง ฟังการเต้นของหัวใจ ตรวจระดับไขมันและหินปูนในหลอดเลือด ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) โดยใช้สื่อนำคลื่นไฟฟ้าขนาดเล็กมาติดตามที่หน้าอก แขนและขา โดยคลื่นไฟฟ้าหัวใจจะแสดงออกมาเป็นกราฟ ซึ่งแพทย์จะอ่านผลและวินิจฉัยความผิดปกติที่เกิดขึ้นได้ ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจขณะออกกำลังกาย (Exercise Stress Test: EST) คือการให้ผู้เข้ารับการตรวจเดินหรือวิ่งบนสายพานเพื่อกระตุ้นให้หัวใจเต้นแรงขึ้น ผลจะแสดงออกมาเป็นกราฟคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูง (Echocardiography) สำหรับผู้ที่ไม่พร้อมทดสอบด้วยการวิ่งบนสายพาน เช่น ผู้สูงอายุ ผู้มีปัญหาด้านการเดิน เป็นการตรวจเพื่อดูกายวิภาคของหัวใจ ความหนาของผนังหัวใจ การเคลื่อนที่และการบีบตัว ซึ่งวิธีนี้จะช่วยให้แพทย์วินิจฉัยโรคหัวใจได้เกือบทุกประเภท ตรวจหัวใจด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ความเร็วสูง (CT Coronary Artery) เพื่อวิเคราะห์หาเส้นเลือดที่ตีบ-ตัน หรือความผิดปกติอื่นๆ ของหลอดเลือดหัวใจ หากตรวจแล้วพบข้อสงสัยว่าเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ การตรวจที่จะบอกได้แน่ชัดที่สุดว่ามีการตีบหรือใกล้ตันในจุดใด คือ การฉีดสีเพื่อดูเส้นเลือดหัวใจ ที่เรียกว่าการสวนหลอดเลือดหัวใจ นั่นเอง ดูแลตัวเองให้ห่างไกลโรคหัวใจ เพราะพฤติกรรมการใช้ชีวิตส่งผลต่อสุขภาพหัวใจโดยตรง ดังนั้นเราควรปรับพฤติกรรมเพื่อลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ ซึ่งสามารถทำได้ ดังนี้ เลือกกินอย่างเหมาะสม ไม่หวาน ไม่มัน ไม่เค็มจนเกินไป กินผัก ผลไม้ที่มีกากใยให้มากขึ้น โดยเลือกชนิดที่น้ำตาลไม่สูง ออกกำลังกายแบบคาร์ดิโออย่างสม่ำเสมอ เพื่อสร้างความแข็งแรงให้กับหัวใจ ช่วยลดไขมันเลว (LDL) และเพิ่มไขมันดี (HDL) ในหลอดเลือด ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน เพราะการมีน้ำหนักตัวมากเกินไปเป็นปัจจัยสำคัญในเกิดโรคต่างๆ ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพหัวใจ เช่น ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน งดสูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงชา กาแฟ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และสารเสพติดต่างๆ ที่จะทำให้เกิดความเสี่ยง ทำจิตใจให้แจ่มใส หากรู้ตัวว่ามีความเครียดควรรีบหาวิธีกำจัดอย่างเหมาะสม พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ เลือกตรวจสุขภาพประจำปีให้เหมาะสมตามช่วงวัยและความเสี่ยง ขอบคุณข้อมูลจาก : BDMS สถานีสุขภาพ