รักษาความดันไม่สม่ำเสมอมีผลต่อหลอดเลือดแดงใหญ่

ความดันโลหิตสูงหากไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง อาจนำไปสู่โรคร้ายแรงที่อันตรายถึงชีวิตได้

โรคหลอดเลือดแดงใหญ่โป่งพอง เป็นอาการที่ผนังหลอดเลือดอ่อนแอและถูกความดันเลือดดันออกทำให้เกิดการโป่งพอง มีสาเหตุได้จากทั้งความเสื่อมตามวัยของผู้สูงอายุ หรือความผิดปกติอื่นๆ เช่น ภาวะความดันโลหิตสูง สูบบุหรี่จัด หรือคนที่มีความผิดปกติทางพันธุกรรมบางชนิด หากใครที่อยู่ในภาวะเสี่ยงควรรีบพบแพทย์และรักษาโดยด่วน เพราะหลอดเลือดแดงใหญ่นั้นมีความสำคัญกับร่างกายมาก เปรียบเสมือนท่อประปาหลักที่ส่งเลือดแดงไปเลี้ยงอวัยวะสำคัญต่างๆ ไม่ว่าจะเป็น หัวใจ สมอง ประสาทไขสันหลัง แขน ขา และรวมไปถึงในช่องท้อง เช่น ตับ ไต และลำไส้ แน่นอนว่าถ้ามีความผิดปกติเกิดขึ้นอย่างการที่เส้นเลือดแดงใหญ่โป่งพอง และปริแตกอาจส่งผลให้เสียชีวิตได้ถึง 50-90%

หลอดเลือดแดงใหญ่อยู่ตรงไหน...สำคัญยังไง?

ลองนึกภาพหลอดเลือดแดงใหญ่เป็นท่อประปาหลักๆ ที่พาดยาวจากบนลงล่างในร่างกาย แตกแขนงออกมาหล่อเลี้ยงอวัยวะสำคัญอย่าง หัวใจ สมอง ประสาทไขสันหลัง แขน ขา ตับ ไต สำไส้ ดังนั้นหากมีความผิดปกติเกิดขึ้นกับหลอดเลือดแดงใหญ่ แน่นอนว่าย่อมกระทบต่ออวัยวะส่วนต่างๆ และหากหลอดเลือดแดงใหญ่โป่งพองถึงขั้นปริแตกล่ะก็อาจทำให้เสียชีวิตได้

ไม่แสดงอาการเบื้องต้น อาจโป่งพองจนแตก...นี่คือสิ่งที่ต้องระวัง

โรคหลอดเลือดแดงใหญ่โป่งพอง เป็นได้กับทุกตำแหน่งของหลอดเลือดแดงใหญ่ ในช่วงตั้งแต่ส่วนติดกับหัวใจลงมาถึงในช่องท้องที่แยกแขนงเป็นไปเลี้ยงขาสองข้าง ความอันตรายคือเป็นโรคที่อาจไม่มีอาการ แม้บางครั้งจะโป่งพองขนาดใหญ่มากแล้วเกิดแตก ทำให้เสียเลือดออกจากระบบไหลเวียนโลหิตและเสียชีวิตในเวลาอันสั้น

สาเหตุหลอดเลือดแดงใหญ่โป่งพอง

โรคนี้เกิดจากความดันโลหิตไม่สม่ำเสมอ และมักไม่ปรากฏอาการ จนกว่าหลอดเลือดแดงใหญ่โป่งถึงขนาดที่ใกล้แตก

อาการ

  • เจ็บหรือปวด อาจเป็นที่หน้าอก กลางหลังหรือในช่องท้อง
  • คลำได้เป็นก้อนที่เต้นตามชีพจรตรงแถวสะดือ ซึ่งแล้วแต่ตำแหน่งหลอดเลือดแดงใหญ่ที่โป่ง หรือโป่งพองไปกดอวัยวะข้างเคียง
  • เสียงแหบ ไอ ไอเป็นเลือด
  • อาเจียนเป็นเลือด
  • เหนื่อยจากภาวะหัวใจวาย
  • ถ้าเกิดในช่องท้องอาจกดหลอดเลือดดำทำให้ขาบวม

“การรักษาหลอดเลือดแดงใหญ่โป่งพอง ถ้ารักษาตอนที่แตกแล้ว อัตราตายจะสูงมาก จะได้ผลดีและปลอดภัยต้องรักษาก่อนมีอาการ”

ดังนั้นผู้สูงวัยที่เข้าข่ายอาจมีความเสี่ยง ควรรีบเข้ารับการตรวจไว้แต่เนิ่นๆ ซึ่งการรักษาทำได้สองวิธีคือการผ่าตัดแบบเปิด ต้องเปิดแผลใหญ่ ฟื้นตัวช้า ขณะผ่าตัดก็จะเสียเลือด และยังมีความเสี่ยงต่อการเกิดอัมพาตถ้าเป็นการผ่าตัดหลอดเลือดแดงใหญ่ส่วนที่มีแขนงไปเลี้ยงสมอง แต่ในปัจจุบันยกเว้นหลอดเลือดแดงใหญ่ส่วนที่ติดกับหัวใจ เราสามารถรักษาได้โดยไม่ต้องผ่าตัดใหญ่ มีเพียงรอยผ่าตัดที่ขาหนีบความยาวประมาณ 1 นิ้ว แล้วสอดหลอดเลือดเทียมที่มีขดลวดที่ผนังให้ไปกางคร่อมตำแหน่งที่โป่งพอง เลือดจะไหลในเส้นเลือดเทียม ผนังส่วนโป่งพองก็จะไม่สัมผัสกับเลือด ไม่แตกและค่อย ๆ ยุบลงในที่สุด คนไข้สามารถลุกเดินได้เร็ว ฟื้นตัวเร็ว อยู่โรงพยาบาลสั้น กลับไปใช้ชีวิตปกติได้เร็ว

การรักษาโรคหลอดเลือดแดงใหญ่โป่งพองด้วยการใช้ขดลวดและหลอดเลือดเทียมเป็นการรักษามาตรฐานของโรคนี้ อาจมีข้อยกเว้นในตำแหน่งโป่งพองที่รักษาไม่ได้ หรือคนไข้มีลักษณะทางกายวิภาคไม่เหมาะสม ซึ่งการรักษาต้องใช้แพทย์ที่มีประสบการณ์สูง ดังนั้น ยิ่งตรวจพบเร็ว การรักษายิ่งได้ผลดี และปลอดภัย

ขอบคุณข้อมูลจาก : BDMS สถานีสุขภาพ

บทความที่เกี่ยวข้อง

EP.3 : ฟื้นฟูหัวใจหลังผ่าตัด

EP.3 : ฟื้นฟูหัวใจหลังผ่าตัด

EP.3 : ฟื้นฟูหัวใจหลังผ่าตัด #กายภาพที่มากกว่าการเดิน“หลังการผ่าตัดหัวใจ สิ่งสำคัญไม่ได้จบแค่ในห้องผ่าตัด หรือ ICU แต่คือการเริ่มต้นใหม่…ของการฟื้นฟู”#เมื่อผู้ป่วยก้าวออกจากห้อง ICU หัวใจ ขั้นตอนต่อไปคือ การกายภาพบำบัดหัวใจ (Cardiac Rehabilitation) เพื่อให้หัวใจและร่างกายค่อย ๆ ฟื้นตัวอย่างปลอดภัย และคืนความมั่นใจในการใช้ชีวิตประจำวันอีกครั้ง ทำไม “กายภาพหัวใจ” จึงเป็นคีย์สำคัญ?- หลังผ่าตัด ผู้ป่วยมักอ่อนแรง ทั้งหัวใจ ปอด และกล้ามเนื้อจากการนอนพักนาน- การไม่ขยับอาจเสี่ยงต่อ ปอดแฟบ, เสมหะอุดตัน, ลิ่มเลือด, กล้ามเนื้อฝ่อลีบ- กายภาพหัวใจจึงไม่ใช่แค่การเคลื่อนไหว แต่คือการ “ปลุกระบบหัวใจ–ปอดและกล้ามเนื้อ” ให้กลับมาทำงานอย่างมั่นคง #ผู้ป่วยได้อะไรจากการกายภาพหัวใจหายใจได้ดีขึ้น ปอดขยายตัว ลดเสมหะ ลดความเสี่ยงการติดเชื้อฟื้นแผลเร็วขึ้น เจ็บน้อยลง จากเทคนิคการพยุงแผลและการเปลี่ยนท่าที่ถูกวิธีแขน–ไหล่ไม่ติด กล้ามเนื้อแข็งแรงขึ้นเดินได้ไกลขึ้นทีละก้าว เพิ่มความทนทานของร่างกายทำกิจวัตรเองได้ เช่น อาบน้ำ แต่งตัว รับประทานอาหารมั่นใจมากขึ้น ไม่กลัวว่าหัวใจจะรับไม่ไหว #โปรแกรมกายภาพหัวใจ- ฝึกหายใจ ด้วยเครื่อง Incentive Spirometer และการหายใจลึก- ฝึกการไออย่างถูกวิธี โดยใช้หมอนพยุงแผลหน้าอก- เคลื่อนไหวแขน–ไหล่ ตามหลัก Sternal Precaution- ฝึกเปลี่ยนอิริยาบถและสมดุล จากนอน → นั่ง → ยืน → เดิน- เพิ่มความทนทาน เดินระยะสั้นไปสู่ระยะไกลขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป- ฝึกกิจวัตรประจำวัน (ADL Training) เพื่อคืนความสามารถในการใช้ชีวิตเองพยาบาลเฉพาะทางหัวใจ: คู่หูสำคัญของนักกายภาพในทุกขั้นตอนกายภาพ ผู้ป่วยหัวใจจะไม่ถูกปล่อยให้อยู่เพียงลำพัง เพราะมี พยาบาลเฉพาะทางหัวใจประกบอยู่ข้างเตียง เพื่อเฝ้าระวังผ่าน Monitor แบบเรียลไทม์ ได้แก่ คลื่นไฟฟ้าหัวใจ (ECG), ความดัน, อัตราการเต้นหัวใจ และค่าออกซิเจนในเลือด (SpO₂)หากพบความผิดปกติ เช่น ความดันตก หัวใจเต้นผิดจังหวะ หรือผู้ป่วยเหนื่อยเกินไป พยาบาลสามารถหยุดกิจกรรมและให้การช่วยเหลือได้ทันที ทำให้การฟื้นฟูทุกก้าวปลอดภัยและมั่นใจความพร้อมของโรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรีมีแพทย์เวชศาสตร์ฟื้นฟู พร้อมด้วยทีมกายภาพรวมกว่า 15 คน พร้อมโปรแกรมฟื้นฟูออกแบบเฉพาะบุคคล ทีมทีมสหวิชาชีพที่เกี่ยวข้อง (แพทย์–พยาบาล–กายภาพ–โภชนาการ) ที่ทำงานร่วมกันอย่างไร้รอยต่อทุกหัตถการหลังผ่าตัด “ #กายภาพบำบัด” จึงไม่ใช่แค่ตัวเลือก แต่คือ “กุญแจสำคัญ” ที่ช่วยให้ผู้ป่วยหัวใจกลับมาแข็งแรงและมั่นใจอีกครั้งโรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี พร้อมแล้วในการดูแลผู้ป่วยหัวใจแบบครบวงจร ตั้งแต่ห้องผ่าตัด → ICU → กายภาพบำบัด และต่อยอดสู่การฟื้นฟูคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยในระยะยาว

ภาวะหัวใจล้มเหลว

ภาวะหัวใจล้มเหลว

ภาวะหัวใจล้มเหลว ภาวะหัวใจล้มเหลว เป็นภาวะที่หัวใจทำงานผิดปกติ ซึ่งอาจผิดปกติที่โครงสร้างหรือการทำงานของหัวใจ ทำให้ไม่สามารถส่งเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆได้อย่างเพียงพอ และไม่สามารถรับเลือดกลับเข้าสู่หัวใจได้ตามปกติ ภาวะหัวใจล้มเหลวจึงมีผลต่อเนื้อเยื่อทุกส่วนของร่างกาย อาจส่งผลต่อผู้ป่วยอย่างรุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ อาการหลักๆของภาวะหัวใจล้มเหลว เหนื่อย อ่อนเพลีย บวม ภาวะหัวใจล้มเหลว แบ่งเป็น 2 กลุ่ม ดังนี้ ภาวะหัวใจล้มเหลวเรื้อรัง ผู้ป่วยมักมาด้วยอาการที่ไม่จำเพาะ เช่น อ่อนเพลีย เหนื่อยง่าย จำเป็นต้องตรวจเลือด และตรวจการทำงานของหัวใจเพิ่มเติม เพื่อช่วยในการวินิจฉัย การรักษานอกจากจะมุ่งเน้นการชะลอการดำเนินโรค และเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย ภาวะหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน เป็นภาวะฉุกเฉินต้องให้การรักษาทันที่ มักพบในผู้ป่วยที่เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด การรักษามุ่งเน้นการรักษาภาวะฉุกเฉินเพื่อช่วยชีวิตผู้ป่วย โดยช่วยเรื่องการไหลเวียนเลือด และการหายใจเป็นหลัก ภาวะแทรกซ้อนของจากภาวะหัวใจล้มเหลว ไตวาย ตับวาย หัวใจเต้นผิดจังหวะ ลิ้นหัวใจรั่ว การวินิจฉัยภาวะหัวใจล้มเหลว ซักประวัติและตรวจร่างกายจากแพทย์ การตรวจเลือดเพื่อหาสารเคมีบางอย่างในร่างกาย (NT-ProBNP) ตรวจการทำงานของหัวใจด้วยคลื่นเสียงสะท้อน (Echocardiography) นอกจากนี้แพทย์อาจพิจารณาตรวจหาโรคที่ทำให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลวเพิ่มเติม เช่น การฉีดสีสวนหัวใจเพื่อหาโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ เพื่อจะได้ทำการแก้ไขโรคต้นเหตุได้อย่างทันท่วงที ผู้ที่มีความปัจจัยเสี่ยงต่อภาวะหัวใจล้มเหลว โรคเบาหวาน โรคความดันโลหิตสูง ไขมันในเลือดสูง สูบบุหรี่ ผู้ป่วยที่มีภาวะโลหิตจางเรื้อรัง การรักษาภาวะหัวใจล้มเหลว การหาโรคที่เป็นทำให้เกิดภาวะหัวใจล้มเหลว และรักษาแก้ไขที่โรคต้นเหตุร่วมกับการรักษาภาวะหัวใจล้มเหลว รักษาด้วยยาเพื่อชะลอการดำเนินโรคและฟื้นฟูการทำงานของหัวใจ ควบคุมปริมาณน้ำที่ดื่ม และอาหารที่มีโซเดียมสูง อาหารรสเค็ม และการปรับยาขับปัสสาวะอย่างเหมาะสม การป้องกันการเกิดภาวะหัวใจล้มเหลว รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ รับประทานในปริมาณที่พอเหมาะ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ อย่างน้อยวันละ 30-40 นาที สัปดาห์ละ 3-5 วัน ตรวจสุขภาพและพบแพทย์สม่ำเสมออย่างน้อยปีละ 1 ครั้ง หากมีโรคประจำตัว ควรรับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด และมาตรวจตามนัดทุกครั้ง จัดการกับความเครียดอย่างเหมาะสม ทำกิจกรรมที่ช่วยผ่อนคลายความตึงเครียด พักผ่อนอย่างเพียงพอ สอบถามเพิ่มเติมที่ศูนย์โรคหัวใจและหลอดเลือด โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี 039-319888

ทำไมคนรุ่นใหม่เป็นโรคหัวใจมากขึ้น

ทำไมคนรุ่นใหม่เป็นโรคหัวใจมากขึ้น

ทำไมคนรุ่นใหม่เป็นโรคหัวใจมากขึ้น โรคหัวใจ (Heart Disease) หลายคนคงนึกว่าเหมารวมเพียงแต่โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ หรือ ภาวะหัวใจวายเฉียบพลัน เนื่องจากเป็นโรคที่พบบ่อยที่สุดในบรรดากลุ่มโรคหัวใจ จากการรายงานสถิติขององค์การอนามัยโลก (WHO) ในปี 2563 พบว่า กลุ่ม "โรคหัวใจ" และหลอดเลือดเป็นสาเหตุการเสียชีวิตอันดับ 1 ของคนทั่วโลก หรือประมาณ 17.9 ล้านคน และจากสถิติในประเทศไทย พบผู้เสียชีวิตด้วยโรคหัวใจและหลอดเลือดมากถึง 6 หมื่นรายต่อปี เฉลี่ยชั่วโมงละ 2 คน นอกจากนี้ยังมีโรคที่เกิดขึ้นกับหัวใจได้อีกมากมาย อาทิ โรคกล้ามเนื้อหัวใจ โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ โรคลิ้นหัวใจ โรคหัวใจพิการแต่กำเนิด และโรคติดเชื้อบริเวณหัวใจ เป็นต้น รู้หรือไม่ ? ทำไมคนรุ่นใหม่ถึงเป็นโรคหัวใจมากขึ้น ในอดีตโรคหลอดเลือดหัวใจมักเกิดในผู้สูงอายุ แต่ปัจจุบันเราพบว่าหนุ่มสาววัยทำงานนั้นมีความเสี่ยงเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจสูงขึ้น ซึ่งเป็นผลมาจากหลายปัจจัย โดยเฉพาะไลฟ์สไตล์การใช้ชีวิตที่เปลี่ยนไป ทำให้มีการเคลื่อนไหวร่างกายน้อยลง ขาดการออกกำลังกาย อยู่ในภาวะเครียด พักผ่อนน้อย ยิ่งหากใครที่สายปาร์ตี้ด้วยแล้วยิ่งเพิ่มความเสี่ยงโรคหัวใจมากขึ้นไปอีก ส่วนปัจจัยที่นอกเหนือจากพฤติกรรมก็มีอยู่บ้าง เช่น โรคประจำตัว อาทิ โรคเบาหวาน หรือมีภาวะไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง พันธุกรรม สัญญาณเตือน “โรคหัวใจ” เหนื่อยง่ายเวลาออกแรง เดินเร็วๆ หรือออกกําลังกาย หายใจเข้าลำบาก อาจจะเป็นตลอดเวลา เป็นขณะออกกำลังกาย ตอนใช้แรงมากๆ หรือเป็นเฉพาะในเวลากลางคืนขณะพักผ่อน เจ็บหน้าอกหรือแน่นบริเวณกลางอก เจ็บหน้าอกด้านซ้ายบริเวณหัวใจหรือทั้ง 2 ข้างจนไม่สามารถนอนราบได้ตามปกติ เพราะจะรู้สึกเหนื่อยเวลาหายใจและอึดอัดตรงหน้าอก หายใจหอบ จนบางครั้งต้องตื่นขึ้นมาหอบกลางดึก เป็นลมหมดสติโดยไม่ทราบสาเหตุ ขาหรือเท้าบวมโดยไม่ทราบสาเหตุ ปลายมือ ปลายเท้า และริมฝีปากมีสีเขียวคล้ำ หากมีอาการดังกล่าวแล้วจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นโรคหัวใจหรือไม่ ? อาศัยการซักประวัติ สอบถามอาการและปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ที่น่าสงสัย ตรวจร่างกายในทุกระบบที่เกี่ยวข้อง ฟังการเต้นของหัวใจ ตรวจระดับไขมันและหินปูนในหลอดเลือด ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG) โดยใช้สื่อนำคลื่นไฟฟ้าขนาดเล็กมาติดตามที่หน้าอก แขนและขา โดยคลื่นไฟฟ้าหัวใจจะแสดงออกมาเป็นกราฟ ซึ่งแพทย์จะอ่านผลและวินิจฉัยความผิดปกติที่เกิดขึ้นได้ ตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจขณะออกกำลังกาย (Exercise Stress Test: EST) คือการให้ผู้เข้ารับการตรวจเดินหรือวิ่งบนสายพานเพื่อกระตุ้นให้หัวใจเต้นแรงขึ้น ผลจะแสดงออกมาเป็นกราฟคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ตรวจหัวใจด้วยคลื่นเสียงสะท้อนความถี่สูง (Echocardiography) สำหรับผู้ที่ไม่พร้อมทดสอบด้วยการวิ่งบนสายพาน เช่น ผู้สูงอายุ ผู้มีปัญหาด้านการเดิน เป็นการตรวจเพื่อดูกายวิภาคของหัวใจ ความหนาของผนังหัวใจ การเคลื่อนที่และการบีบตัว ซึ่งวิธีนี้จะช่วยให้แพทย์วินิจฉัยโรคหัวใจได้เกือบทุกประเภท ตรวจหัวใจด้วยเครื่องเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ความเร็วสูง (CT Coronary Artery) เพื่อวิเคราะห์หาเส้นเลือดที่ตีบ-ตัน หรือความผิดปกติอื่นๆ ของหลอดเลือดหัวใจ หากตรวจแล้วพบข้อสงสัยว่าเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ การตรวจที่จะบอกได้แน่ชัดที่สุดว่ามีการตีบหรือใกล้ตันในจุดใด คือ การฉีดสีเพื่อดูเส้นเลือดหัวใจ ที่เรียกว่าการสวนหลอดเลือดหัวใจ นั่นเอง ดูแลตัวเองให้ห่างไกลโรคหัวใจ เพราะพฤติกรรมการใช้ชีวิตส่งผลต่อสุขภาพหัวใจโดยตรง ดังนั้นเราควรปรับพฤติกรรมเพื่อลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคหลอดเลือดหัวใจ ซึ่งสามารถทำได้ ดังนี้ เลือกกินอย่างเหมาะสม ไม่หวาน ไม่มัน ไม่เค็มจนเกินไป กินผัก ผลไม้ที่มีกากใยให้มากขึ้น โดยเลือกชนิดที่น้ำตาลไม่สูง ออกกำลังกายแบบคาร์ดิโออย่างสม่ำเสมอ เพื่อสร้างความแข็งแรงให้กับหัวใจ ช่วยลดไขมันเลว (LDL) และเพิ่มไขมันดี (HDL) ในหลอดเลือด ควบคุมน้ำหนักตัวให้อยู่ในเกณฑ์มาตรฐาน เพราะการมีน้ำหนักตัวมากเกินไปเป็นปัจจัยสำคัญในเกิดโรคต่างๆ ที่ส่งผลกระทบต่อสุขภาพหัวใจ เช่น ไขมันในเลือดสูง ความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน งดสูบบุหรี่ หลีกเลี่ยงชา กาแฟ เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และสารเสพติดต่างๆ ที่จะทำให้เกิดความเสี่ยง ทำจิตใจให้แจ่มใส หากรู้ตัวว่ามีความเครียดควรรีบหาวิธีกำจัดอย่างเหมาะสม พักผ่อนนอนหลับให้เพียงพอ เลือกตรวจสุขภาพประจำปีให้เหมาะสมตามช่วงวัยและความเสี่ยง ขอบคุณข้อมูลจาก : BDMS สถานีสุขภาพ

ปัจจัยเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด

ปัจจัยเสี่ยงโรคหัวใจและหลอดเลือด

ศูนย์โรคหัวใจและหลอดเลือด คนไทยป่วยโรคหลอดเลือดหัวใจ 432,943 คนต่อปี และมีอัตราการเสียชีวิตถึง 20,855 คน เฉลี่ย 2 คนต่อชั่วโมง และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โรคหัวใจ เป็นคำที่มีความหมายกว้าง เนื่องจากโรคหัวใจแบ่งย่อยออกเป็นอีกหลายชนิด ตามตำแหน่งที่เกิดความผิดปกติ ลักษณะการแสดงอาการ และการติดเชื้อ เป็นต้น ซึ่งไม่ว่าจะเป็นโรคหัวใจชนิดใดก็ย่อมส่งผลกระทบต่อการทำงานของหัวใจทั้งสิ้น ในที่นี้จะขอกล่าวถึงโรคหัวใจที่มักจะได้ยินกันบ่อยๆ ดังนี้ โรคหลอดเลือดหัวใจตีบ-อุดตันตัน จากหลอดเลือดที่เคยมีพื้นผิวที่เรียบ เลือดไหลเวียนไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายได้อย่างสะดวก แต่เมื่อเรามีระดับไขมันในเลือดสูง ไขมันเหล่านี้จะไปสะสมอยู่ตามผนังหลอดเลือดทำให้หลอดเลือดตีบแคบลง หรือบางกรณีอาจเกิดจากการมีลิ่มเลือดมาอุดตันหลอดเลือด ซึ่งทั้ง 2 กรณี ส่งผลให้เลือดไหลเวียนไม่สะดวก มีโอกาสเกิดกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือดขึ้นได้ โรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด หลอดเลือดหัวใจที่ตีบหรืออุดตัน ทำให้ส่งเลือดไปเลี้ยงหัวใจได้ไม่เพียงพอ ทำให้เกิดกล้ามเนื้อตายจากการขาดเลือด ซึ่งผู้ป่วยจะมีอาหารเจ็บแน่นหน้าอก ร้าวไปกราม ไปไหล่ และแขน หายใจเหนื่อย วิงเวียน เหงื่อออก ตัวเย็น โดยผู้ป่วยแต่ละรายจะมีอาการแตกต่างกันออกไป อาจจะมีอาการในช่วงที่ออกแรง รู้สึกเครียด หรือหลังจากการรับประทานอาหารมื้อหนัก เมื่อมีอาการควรรีบมาพบแพทย์ทันที เพราะถ้าไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้องอย่างทันท่วงที ผู้ป่วยอาจมีอันตรายถึงแก่ชีวิตได้ โรคหัวใจวาย ภาวะหัวใจวาย เป็นภาวะประสิทธิภาพการทำงานของหัวใจลดลง ทำให้ไม่สามารถส่งเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายได้อย่างเพียงพอ ส่งผลต่ออวัยวะทุกส่วนของร่างกาย นอกจากนี้ภาวะหัวใจวายยังทำให้เกิดน้ำท่วมปอด และไตวายได้อีกด้วย อาการของภาวะหัวใจวาย คือ หายใจลำบาก เหนื่อยหอบ โดยเฉพาะขณะนอนราบ ไอแห้ง นอนหลับยาก มือเท้าบวม โรคหัวใจเต้นผิดจังหวะ หัวใจเต้นผิดจังหวะ เกิดจากความผิดปกติของกระแสไฟฟ้าหัวใจ ส่งผลต่อความสม่ำเสมอและอัตราการเต้นของหัวใจ ปัจจัยเสี่ยงโรคหัวใจ *** โรคหัวใจอาจไม่แสดงอาการใดๆให้ท่านทราบเลยในช่วงแรก การตรวจสุขภาพหัวใจเป็นประจำจึงมีความสำคัญที่สุด การตรวจสุขภาพหัวใจ การซักประวัติและตรวจรางกายโดยแพทย์ เป็นการตรวจคัดกรองเบื้องต้น เพื่อประเมินความเสี่ยงการเกิดโรคหัวใจ การตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ (EKG & ECG) เป็นเครื่องมือตรวจพิเศษช่วยวิเคราะห์ความผิดปกติของหัวใจเบื้องต้น ที่ไม่เสียเวลาและไม่ต้องเจ็บตัว การวัดสมรรถภาพหัวใจขณะออกกำลังกาย (EST) เพื่อทดสอบความทนของหัวใจขณะออกกำลังกาย ทำให้สามารถประเมินโอกาสเสี่ยงในการเกิดคววามผิดปกติที่อาจจะมีต่อหัวใจขณะออกแรง การตรวจเลือด เพื่อประเมินระดับของเอนไซม์หัวใจ ว่าอยู่ในยเกณฑ์ของผู้ป่วยหัวใจวายหรือไม่ การอัลตราซาวด์หัวใจ (Echocardiogram) เพื่อดูการทำงาน โครงสร้าง และความผิดปกติของหัวใจ การตรวจ MRI เป็นการตรวจดูความผิดปกติของหัวใจ โดย ใช้ คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้าและคลื่นวิทยุ ซึ่งสามารถให้ภาพที่ชัดเจนทั้งแนวขวางและ 3 มิติ การตรวจ MRA เป็นการตรวจหาความผิดปกติของ หลอดเลือด โดยการใช้เครื่อง MRI การวินิจฉัยด้วยการสวนหัวใจ เป็นการตรวจเอ็กซเรย์ร่วมกับการฉีดสารทึบแสงทางหลอดเลือดเพื่อวิเคราะห์ความผิดปกติของหลอดเลือดหัวใจ โดยหากพบความผิดปกติที่สามารถรักษาด้วยการทำบอลลูน ใส่ขดลวดถ่างขยายหลอดเลือด ผู้ป่วยจะสามารถทำได้ในคราวเดียวกัน ไม่ต้องเจ็บตัวซ้ำ ไม่ต้องผ่าตัด ไม่ต้องดมยาสลบ และไม่ต้องพักฟื้นในโรงพยาบาลนาน การรักษา รับประทานยา รักษาด้วยการสวนหัวใจ ผ่าตัด การป้องกัน รับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ อย่างเหมาะสม ลดอาหารที่มีคลอเรสเตอรอลสูง ควบคุมน้ำหนัก ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ไม่ดื่มสุรา และ ไม่สูบบุหรี่ หากมีโรคประจำตัว ต้องดูแลตนเองตามแพทย์แนะนำและรับประทานยาตามแพทย์สั่งอย่างเคร่งครัด โรคหัวใจเป็นโรคที่รุนแรงถึงขั้นเสียชีวิตได้ หากสงสัยหรือมีความเสี่ยงควรพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่ โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี โทร. 039 319 888

ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ

ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ

ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ หลังฉีดวัคซีนกลุ่ม mRNA ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ เป็น 1 ในอาการไม่พึงประสงค์หลังจากฉีดวัคซีนเชื้อเป็น (mRNA) ข้อมูลปัจจุบันพบเพียง 1 พันคนเท่านั้น พบมากในในวัยรุ่นทั้งชายและหญิงที่ฉีดเข็มกระตุ้นที่ 2 หากพบอาการดังต่อไปนี้ควรรีบพบแพทย์ ภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ (Myocarditis) คือ ภาวะที่ส่งผลต่อสัญญาณไฟฟ้าของหัวใจและอาจทำให้หัวใจเต้นเร็วหรือผิดปกติ (arrhythmia) นอกจากนี้ยังอาจส่งผลต่อความสามารถของหัวใจในการสูบฉีดเลือดและหมุนเวียนออกซิเจน ซึ่งสามารถเกิดขึ้นได้จากการฉีดวัคซีนแต่ผู้เชี่ยวชาญไม่แน่ใจว่ากลไกการเกิดโรคเกิดจากอะไร ปัจจุบันศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค และพันธมิตรกำลังติดตามรายงานเกี่ยวกับโรคกล้ามเนื้อหัวใจและเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบการฉีดวัคซีน COVID-19 หลังฉีดวัคซีน mRNA COVID-19 (Pfizer-BioNTech หรือ Moderna) โดยเฉพาะในวัยรุ่นชายและวัยหนุ่มสาว พบได้มากขึ้นในการรับวัคซีนเข็มที่สอง ส่วนมากมีอาการไม่กี่วันหลังจากฉีดวัคซีน หากมีอาหารเหล่านี้ หลังการฉีดวัคซีน COVID-19ภายในหนึ่งสัปดาห์ควรพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที ยังควรฉีดวัคซีนให้ตัวเองหรือลูกหรือไม่? ทางการแพทย์ยืนยันว่า “ยังควรฉีด” ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคยังคงแนะนำให้ทุกคนที่มีอายุ 12 ปีขึ้นไปฉีดวัคซีนป้องกัน COVID-19 เนื่องาจากความเสี่ยงที่เกิดจากการเจ็บป่วยจาก COVID-19 และภาวะแทรกซ้อนที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ปัญหาสุขภาพในระยะยาว การเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล และแม้กระทั่งการเสียชีวิต นั้นมีมากกว่าความเสี่ยงที่อาจเกิดปฏิกิริยาไม่พึงประสงค์จากการฉีดวัคซีน รวมถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด หรือเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ อย่างไรก็ตามหลังจากได้รับการรักษา ส่วนใหญ่มักมีการตอบสนองต่อยาได้ดี และอาการดีขึ้นอย่างรวดเร็ว ผู้ป่วยสามารถกลับไปทำกิจกรรมประจำวันตามปกติได้หลังจากที่อาการดีขึ้น ผู้ที่ได้รับการวินิจฉัยว่าเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบควรปรึกษากับแพทย์โรคหัวใจ เกี่ยวกับการกลับไปออกกำลังกายหรือเล่นกีฬา ผู้ป่วยส่วนใหญ่ที่หายเป็นปกติหลังจากได้รับการรักษาและพักผ่อน ผู้เชี่ยวชาญกำลังติดตามผลข้างเคียงแต่ยังต้องการการวิจัยเพิ่มเติมเพื่อให้ทราบว่าสาเหตุและผลกระทบในระยะยาวคืออะไร อาการโรคกล้ามเนื้อหัวใจและเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ เจ็บหน้าอก หายใจหอบ รู้สึกหัวใจเต้นเร็ว หรือหัวใจเต้นแรง หากมีอาหารเหล่านี้ หลังการฉีดวัคซีน COVID-19ภายในหนึ่งสัปดาห์ควรพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัยและรักษาอย่างทันท่วงที ยังควรฉีดวัคซีนให้ตัวเองหรือลูกหรือไม่? ทางการแพทย์ยืนยันว่า “ยังควรฉีด” ศูนย์ควบคุมและป้องกันโรคยังคงแนะนำให้ทุกคนที่มีอายุ 12 ปีขึ้นไปฉีดวัคซีนป้องกัน COVID-19 เนื่องาจากความเสี่ยงที่เกิดจากการเจ็บป่วยจาก COVID-19 และภาวะแทรกซ้อนที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ ปัญหาสุขภาพในระยะยาว การเข้ารับการรักษาในโรงพยาบาล และแม้กระทั่งการเสียชีวิต นั้นมีมากกว่าความเสี่ยงที่อาจเกิดปฏิกิริยาไม่พึงประสงค์จากการฉีดวัคซีน รวมถึงความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นจากโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด หรือเยื่อหุ้มหัวใจอักเสบ สาเหตุภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ มักเกิดจากการติดเชื้อไวรัสหรือปฏิกิริยาของยา เกิดขึ้นได้กับทุกคน ทั้งผู้ใหญ่ เด็ก และทารก ในความเป็นจริง มีแนวโน้มที่จะภาวะนี้ในผู้ที่มีอายุต่ำกว่า 30 ปีที่มีสุขภาพแข็งแรง และในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงประมาณ2เท่า โรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ มีตั้งแต่อาการน้อยถึงรุนแรง ยังส่งผลต่อเด็กแตกต่างกันในกรณีที่ไม่รุนแรง มีอาการดังต่อไปนี้ เจ็บหน้าอก หายใจถี่ ใจสั่น ขณะที่ในกรณีที่รุนแรงและควรพบแพทย์โดยด่วน เจ็บหน้าอก จังหวะการเต้นของหัวใจเร็วกว่าปกติหรือเต้นผิดปกติ หายใจถี่ ขณะพัก หรือระหว่างทำกิจกรรม อาการบวมที่ขา ข้อเท้า และเท้า ความเหนื่อยล้า อาการอื่นๆ อาจเป็นส่วนหนึ่งของการติดเชื้อไวรัสที่ทำให้เกิดโรคกล้ามเนื้อหัวใจตายได้ เช่น ปวดศีรษะ ปวดตามร่างกาย ปวดข้อ มีไข้ เจ็บคอ หรือท้องร่วง อาการกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบในเด็ก ได้แก่ ไข้ เป็นลม หายใจลำบาก หายใจเร็ว หัวใจเต้นเร็วหรือผิดปกติ หากคุณสังเกตเห็นอาการเหล่านี้ ให้แจ้งแพทย์ของคุณ หากเป็นเรื่องฉุกเฉิน โทร 1669 หรือไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุด การวินิจฉัยตั้งแต่ระยะแรก เป็นกุญแจสำคัญสำหรับการรักษาที่เหมาะสม การฟื้นตัวเต็มที่ และการป้องกันปัญหาหัวใจในระยะยาว แพทย์ของคุณอาจทำการตรวจร่างกายและถามเกี่ยวกับประวัติทางการแพทย์ของคุณ แพทย์อาจทำการทดสอบในห้องปฏิบัติการ ภาพถ่ายทางรังสี และการตรวจเกี่ยวกับการทำงานของหัวใจ เพื่อยืนยันว่าอาการรุนแรงเพียงใด แนวทางการรักษากล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ปกติภาวะกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบจะดีขึ้นเองและคุณฟื้นตัวได้อย่างสมบูรณ์ ในบางกรณีคุณอาจต้องได้รับการรักษา เช่น ยาคอร์ติโคสเตียรอยด์หรือยาต้านไวรัส หากคุณเคยเป็นโรคกล้ามเนื้อหัวใจอักเสบ ควรหลีกเลี่ยงกิจกรรมที่ต้องใช้แรงกายอย่างหนัก เช่น เล่นกีฬาเป็นเวลาอย่างน้อย 3-6 เดือน ปรึกษากับแพทย์ของคุณก่อนที่จะกลับไปออกกำลังกายตามปกติหรือเล่นกีฬา ขอบคุณข้อมูลจาก : BDMS สถานีสุขภาพ

ปัญหาช่องปาก เรื่องใหญ่ของผู้ป่วยโรคหัวใจ

ปัญหาช่องปาก เรื่องใหญ่ของผู้ป่วยโรคหัวใจ

กรมการแพทย์ โดยสถาบันโรคทรวงอก แนะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเสี่ยง ลดปัญหาสุขภาพช่องปาก เตือนผู้ป่วยโรคหัวใจควรใส่ใจสุขภาพช่องปากมากกว่าคนทั่วไป หากละเลยเสี่ยงติดเชื้อในกระแสเลือดอันตรายต่อชีวิต สุขภาพช่องปาก เป็นเรื่องที่ทุกคนต้องให้ความสำคัญโดยเฉพาะผู้ป่วยโรคหัวใจ เนื่องจากปัญหาโรคเหงือกและฟันมีความเกี่ยวข้องกับโรคหัวใจ หากพบว่าในช่องปากมีโรคเหงือก ฟันผุ หรือหนองจากฟันผุทะลุโพรงประสาทฟัน จะทำให้เกิดอาการปวดฟัน รากฟันอักเสบเป็นหนอง และอาจเกิดการติดเชื้อจากแบคทีเรียแทรกซึมเข้าสู่กระแสเลือดไปตามอวัยวะต่างๆ รวมถึงหัวใจ ทำให้เกิดพยาธิสภาพที่หัวใจได้ ปัจจัยเสี่ยงปัญหาสุขภาพช่องปาก การสูบบุหรี่ ทำให้เกิดปัญหากลิ่นปาก โรคปริทันต์อักเสบ การรับประทานของหวาน ของว่างระหว่างมื้อบ่อยๆ อาจทำให้เกิดฟันผุ ฟันผุทะลุโพรงประสาทฟัน การเคี้ยวของแข็ง ส่งผลทำให้ฟันบิ่น หรือฟันแตก การรับประทานยาหลายชนิด อาจทำให้เกิดภาวะปากแห้ง การแปรงฟันแรง แปรงฟันไม่ถูกวิธี อาจทำให้ฟันสึก หรือฟันผุ ดังนั้นควรหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเหล่านี้ เพื่อลดความเสี่ยงปัญหาสุขภาพช่องปากในอนาคต สำหรับข้อควรระวัง และการเตรียมตัวในการทำฟันของผู้ป่วยโรคหัวใจ ควรปรึกษาแพทย์ประจำตัว ขอใบรับรองแพทย์เพื่อยืนยันว่าสามารถทำฟันได้หรือไม่ รวมถึงข้อควรระวัง ชนิดของโรคหัวใจที่เป็น และยาที่รับประทานอยู่ ต้องแจ้งทันตแพทย์ทุกครั้งเกี่ยวกับชนิดของโรคหัวใจ ยาที่รับประทาน รวมถึงปัญหาที่ผู้ป่วยเคยมีในการทำฟัน เพื่อป้องกันการเกิดปัญหาซ้ำ ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์ประจำตัวและทันตแพทย์อย่างเคร่งครัดในการปรับ หรืองดยาละลายลิ่มเลือด การเจาะเลือดก่อนการทำฟัน การรับประทานยาปฏิชีวนะก่อนทำฟัน และการปฏิบัติตนภายหลังการทำฟัน ผู้ป่วยไม่ควรหยุดยาใดๆมาเอง หากไม่ได้รับคำแนะนำจากแพทย์หรือทันตแพทย์ วิธีการดูแล และป้องกันการเกิดปัญหาสุขภาพช่องปากที่ควรปฏิบัติ แปรงฟันอย่างถูกวิธีด้วยแปรงสีฟันขนนุ่มและยาสีฟันที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์ วันละ 2 ครั้ง เช้าและก่อนนอน ใช้ไหมขัดฟัน หรือแปรงซอกฟันเพื่อทำความสะอาดบริเวณด้านประชิดของฟัน ที่สำคัญทั้งผู้ป่วยโรคหัวใจและคนที่สุขภาพร่างกายแข็งแรงควรพบทันตแพทย์ตามนัดหมายเป็นประจำทุก 6 เดือน หากปรับพฤติกรรมที่ไม่ดีร่วมกับการดูแลฟันอย่างถูกวิธีตามคำแนะนำของแพทย์ ก็สามารถช่วยลดปัญหาสุขภาพช่องปากในระยะยาวลงได้ ขอบคุณข้อมูลจาก : สถาบันโรคทรวงอก และ BDMS สถานีสุขภาพ