บอกลาภูมิแพ้เรื้อรังด้วยเทคโนโลยี RF

บอกลาภูมิแพ้เรื้อรังด้วยเทคโนโลยี RF

ภาวะคัดจมูกเรื้อรัง กระทบต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วยโดยตรง ส่งผลให้เสียสมาธิในการเรียน การทำงาน ส่วนการทำกิจกรรมต่าง ๆ ก็ไม่สะดวกคล่องตัวเท่าใดนัก อีกทั้งยังลามไปถึงการนอนหลับพักผ่อน ก่อให้เกิดภาวะง่วงนอนตลอดวัน อันเนื่องมาจากการหลับไม่สนิท ปัจจัยที่ทำให้เกิดภาวะคัดจมูก คือการอักเสบของเยื่อบุโพรงจมูกด้านใน หรือผนังกั้นจมูก โดยผู้ป่วยมักมีอาการจาม น้ำมูกไหล ปวดศีรษะ และหายใจไม่สะดวก เป็นต้น

การรักษาภูมิแพ้ภาวะคัดจมูกเรื้อรัง แพทย์เฉพาะทางหู คอ จมูก จะตรวจร่างกายเพื่อวินิจฉัยภาวะคัดจมูกเรื้อรัง ว่ามาจากสาเหตุใด และให้การรักษาอย่างเหมาะสมตามสาเหตุ อาทิ

  • ควบคุมภูมิแพ้ในผู้ป่วยที่มีสาเหตุมาจากภูมิแพ้
  • รักษาการติดเชื้อในกรณีมีอาการอักเสบติดเชื้อภายในช่องจมูก
  • ผ่าตัดแก้ไขสันจมูกในกรณีที่สันจมูกคดมาก
  • การรักษาด้วยเทคนิคที่เรียกว่า “RF (Radiofrequency) หรือ การรักษาด้วยคลื่นความถี่วิทยุ”โดยการรักษาด้วยเทคนิค RF แพทย์จะใช้เข็มลักษณะพิเศษใส่เข้าไปในเยื่อบุโพรงจมูกคนไข้ จากนั้นคลื่นวิทยุจะเปลี่ยนแปลงเป็นพลังงานความร้อน เยื่อบุโพรงจมูกจะสร้างพังผืดและหดตัวลง ส่งผลให้ช่องขนาดโพรงจมูกใหญ่ขึ้น ผู้ป่วยจึงสามารถหายใจได้โล่งและสะดวกยิ่งขึ้น

นอกจากนี้ การรักษาด้วยคลื่นวิทยุ RF ยังช่วยให้อาการคันจมูก น้ำมูกไหล หรือเสมหะลงคอ ลดลงด้วยเช่นเดียวกัน และกรณีที่ผู้ป่วยเกิดอาการคัดจมูกเนื่องจากเยื่อบุจมูกบวมโตอีกครั้ง สามารถรักษาด้วยวิธีการดังกล่าวซ้ำได้

สอบถามเพิ่มเติมได้ที่แผนกหู คอ จมูก โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี 039-319888

บทความที่เกี่ยวข้อง

เลือดกำเดา เลือดออกจมูก (Epistaxis Nose bleed)

เลือดกำเดา เลือดออกจมูก (Epistaxis Nose bleed)

เลือดกำเดา เลือดออกจมูก (Epistaxis Nose bleed) เลือดกำเดา เกิดจากเส้นเลือดฝอยบริเวณเยื่อบุจมูกแตก มักเกิดขึ้นเฉียบพลัน บางรายเป็น ๆ หาย ๆ บ่อยครั้ง สาเหตุ สาเหตุที่พบบ่อย ได้แก่ ไข้หวัด ภูมิแพ้อากาศ ไซนัสอักเสบ เยื่อจมูกอักเสบ เส้นเลือดฝอยเปราะเนื่องจากอากาศแห้ง การแคะจมูกแรง ๆ ได้รับบาดเจ็บ ความดันโลหิตสูง บางครั้งก็ทำให้เลือดกำเดาไหลได้ เกิดร่วมกับโรคติดเชื้อ เช่น ไข้หวัดใหญ่ มาลาเรีย ไทฟอยด์ ไข้เลือดออก คอตีบ เป็นต้น มีโรคเลือด ได้แก่ มะเร็งเม็ดเลือดขาว โลหิตจางอะพลาสติก ไอทีพี เป็นต้น ซึ่งมักมีเลือดออกตามไรฟัน มีจ้ำเขียวขึ้นตามตัว และตับม้ามโตร่วมด้วย มะเร็งหรือเนื้องอกในจมูกหรือในลำคอ ซึ่งได้น้อยมาก การปฐมพยาบาลเบื้องต้น ปฐมพยาบาลด้วยการให้ผู้ป่วยนั่งนิ่ง ๆ ตัวตรง ก้มหน้าลงเล็กน้อย บีบจมูกหายใจทางปากประมาณ 5-10 นาที จนเลือดหยุดไหล หากมีน้ำแข็งอาจใช้ผ้าห่อไว้แล้วประคงบริเวณจมูกไว้ได้ หากเลือดไม่หยุด หรือเป็นซ้ำบ่อย ๆ จำเป็นต้องไปพบแพทย์เพื่อหาสาเหตุและรักษาต่อไป สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่คลินิกหู คอ จมูก โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี โทร. 039-319896

สิ่งแปลกปลอมเข้าหู (Foreign body in ear canal)

สิ่งแปลกปลอมเข้าหู (Foreign body in ear canal)

สิ่งแปลกปลอมเข้าหู (Foreign body in ear canal) สิ่งแปลกปลอมที่เข้าไปในรูหู ทำให้มีอาการหูอื้อหรือปวดหูได้ และอาจทำให้มีการติดเชื้ออักเสบได้ มักพบในเด็กที่เล่นซน การรักษา หากมีสิ่งแปลกปลอมที่เข้าหูอยู่ลึกเกินกว่าจะเอาออกดวยตนเองได้ ไม่ควรพยายามใช้นิ้ว ไม้แคะหู หรือสิ่งของต่าง ๆ พยายามแคะเอาสิ่งแปลกปลอมออกด้วยจนเอง เพราะอาจเป็นอันตรายได้ แนะนำให้พบแพทย์ ซึ่งแพทย์หู คอ จมูก จะมีอุปกรณ์ที่ช่วยเอาสิ่งแปลกปลอมนั้นออกได้อย่างง่ายได้และไม่เป็นอันตราย สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่คลินิกหู คอ จมูก โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี โทร. 039-319896

หูชั้นในอักเสบ (Labyrinthitis)

หูชั้นในอักเสบ (Labyrinthitis)

หูชั้นในอักเสบ (Labyrinthitis) หูชั้นใน เป็นส่วนที่ควบคุมเกี่ยวกับการทรงตัว โดยหูชั้นในอักเสบส่วนใหญ่มีสาเหตุมาจากการติดเชื้อไวรัส ซึ่งแพร่กระจายจากบริเวณจมูกและลำคอไปสู่หูชั้นใน มักเกิดหลังติดเชื้อไวรัส เช่น ไข้หวัดใหญ่ คางทูม เป็นต้น บางรายเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรียลุกลามจากหูชั้นกลางอักเสบ อาการ วิงเวียนศีรษะ เห็นพื้นบ้านหรือเพดานหมุน เป็นมากเวลามีการเคลื่อนไหวศีรษะ คลื่นไส้ อาเจียน บางรายมีอาการตากระตุก เดินเซ การรักษา หากวิงเวียนมาก ควรให้นอนพักนิ่ง ๆ และหลับตา พบแพทย์เพื่อรับการรักษาอย่างเหมาะสม และรับประทานยาตามคำแนะนำของแพทย์ หากอาการไม่ดีขึ้นภายใน 1 สัปดาห์ หรือมีหูอื้อ เดินเซ ตากระตุก แขนขาอ่อนแรง ความดันโลหิตสูง คลื่นไส้ อาเจียน ควรกลับไปพบแพทย์ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่คลินิกหู คอ จมูก โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี โทร. 039-319896

ทอนซิลอักเสบ

ทอนซิลอักเสบ

ทอนซิลอักเสบ ต่อมทอนซิล(tonsils)เป็นกลุ่มของเนื้อเยื่อประเภทต่อมน้ำเหลือง มีหน้าที่เกี่ยวข้องกับระบบภูมิคุ้มกันของร่างกาย ภายในต่อมมีเม็ดเลือดขาวหลายชนิด หน้าที่หลักคือ จับและทำลายเชื้อโรคที่เข้าสู่ร่างกายทางทางเดินอาหาร หน้าที่รองลงมาคือ สร้างภูมิคุ้มกัน ต่อมทอนซิลพบได้หลายตำแหน่ง ต่อมที่เราเห็นจะอยู่ด้านข้างของช่องปาก มีชื่อเรียกว่า พาลาทีนทอนซิล (palatine tonsil)นอกจากนั้นต่อมทอนซิลยังพบได้บริเวณโคนลิ้น(lingual tonsil)และช่องหลังโพรงจมูก(adenoid tonsil) ทอนซิลอักเสบ(tonsillitis)เป็นภาวะอักเสบของต่อมทอนซิลส่วน\"คออักเสบ\"(pharyngitis)มักใช้เรียกภาวะอักเสบของเนื้อเยื่อในลำคอที่อยู่บริเวณหลังช่องปากเข้าไป บางครั้งภาวะทั้งสองอาจเกิดพร้อมกันได้ ส่วนใหญ่แล้วโรคต่อมทอนซิลพบมากที่สุดในเด็กอายุก่อน10ปี เพราะหลัง10ปีไปแล้วต่อมทอนซิลจะทำงานน้อยลงหรือไม่ทำงานเลย แต่ในผู้ใหญ่อายุน้อยกว่า 20ปี ก็ยังเป็นโรคต่อมทอนซิลอักเสบได้ ส่วนใหญ่มักจะไม่พบทอนซิลอักเสบในคนไข้วัยกลางคนไปแล้ว ผู้ป่วยที่มีทอนซิลอักเสบเฉียบพลันจะมีอาการไข้ หนาวสั่น เจ็บคอ กลืนลำบาก โดยเฉพาะ เวลากลืนอาหารจะเจ็บมาก คนไข้เด็กจะมีอาการน้ำลายไหล เพราะกลืนลำบากทำให้น้ำลายจะไหลลงไปไม่ได้ ก็จะไหลออกมา หรือคนไข้เจ็บคอมาก ๆ อาจมีอาการอาเจียนหลังจากรับประทานอาหาร เพราะการรับประทานอาหารจะรบกวนลำคอที่เจ็บอยู่ โรคทอนซิลอักเสบเฉียบพลัน อาจเกิดจากการติดเชื้อไวรัสและแบคทีเรีย พบเชื้อรา หรือเชื้อวัณโรคได้น้อย โรคทอนซิลอักเสบเฉียบพลัน ในเด็กก่อนวัยเรียนมักจะเกิดจากเชื้อไวรัส และติดต่อกันได้ง่าย เพราะไม่รู้จักการป้องกัน การติดต่อเกิดจากการหายใจ ไอ จาม ใช้ภาชนะที่รับประทานอาหาร หรือดื่มน้ำรวมกัน ส่วนโรคทอนซิลอักเสบเฉียบพลัน ในเด็กโตและผู้ใหญ่มักจะเกิดจากการติดเชื้อแบคทีเรีย การรักษาทอนซิลอักเสบเฉียบพลัน แพทย์จะพิจารณาให้การรักษาตามอาการ เช่น ให้ยาบรรเทาอาการเจ็บคอ ยาลดน้ำมูก ลดไข้ ให้ยาต้านจุลชีพ หรือยาแก้อักเสบ เพื่อกำจัดเชื้อต้นเหตุถ้าการอักเสบนั้นเกิดจากเชื้อแบคทีเรีย ควรรับประทานยาดังกล่าวให้นานพอ 7-10 วัน ซึ่งในปัจจุบันยาในกลุ่มเพนนิซิลินยังใช้ได้ผลดี ยกเว้นเชื้อบางกลุ่มที่พบว่าดื้อยาแล้ว แพทย์จึงจำเป็นต้องใช้ยาปฏิชีวนะที่แรงขึ้น ในรายที่มีอาการมาก ๆ เช่น เจ็บคอมากจนรับประทานอาหารไม่ได้และมีไข้สูง แพทย์อาจแนะนำให้นอนพักรักษาในโรงพยาบาล เพื่อให้น้ำเกลือ และยาต้านจุลชีพทางหลอดเลือดดำ ซึ่งจะทำให้อาการทุเลาดีขึ้นเร็วกว่าการให้ยากลับไปรับประทานที่บ้าน หากแพทย์พิจารณาว่า มีสาเหตุมาจากไวรัส ก็จะให้ยาตามอาการเท่านั้น เพราะยาต้านจุลชีพ ไม่สามารถฆ่าเชื้อไวรัสได้ ถ้าผู้ป่วยไม่ได้รับการรักษา การอักเสบของต่อมทอนซิล อาจจะกระจายกว้างออกไป จนเกิดเป็นหนองบริเวณรอบต่อมทอนซิล(peritonsillar abscess)แล้วอาจลุกลามผ่านช่องคอเข้าสู่ช่องปอดและหัวใจได้ นอกจากนั้น เชื้อแบคทีเรีย อาจเข้ากระแสเลือดแล้วกระจายไปทั่วร่างกาย ซึ่งเป็นภาวะที่อันตรายอย่างมาก เพราะอาจทำให้ผู้ป่วยเสียชีวิตได้ โรคทอนซิลอักเสบเฉียบพลันที่เกิดจากเชื้อสเตร็ปโตคอคคัส(Streptococcus)สามารถทำให้เกิดโรคแทรกซ้อนของโรคหัวใจ และโรคไตได้ การปฏิบัติตัวที่ถูกต้องของผู้ป่วยมีส่วนทำให้อาการดีขึ้นเร็ว ถ้ามีอาการเจ็บคอหรือระคายคอร่วมด้วย ควรรับประทานอาหารอ่อน ๆ เช่น โจ๊ก หรือข้าวต้มที่ไม่ร้อนจนเกินไป หลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสเผ็ด หรือรสจัด หลีกเลี่ยงการสูบบุหรี่ เครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ หลีกเลี่ยงการใช้เสียงชั่วคราว ควรพยายามทำความสะอาดคอบ่อย ๆ โดยเฉพาะหลังรับประทานอาหาร ด้วยการแปรงฟันหรือกลั้วคอด้วยน้ำยาบ้วนปาก,น้ำเกลืออุ่น ๆ หรือน้ำเปล่าหลังอาหารทุกมื้อ เนื่องจากการที่ไม่รักษาความสะอาดในช่องปากให้ดี อาจมีเศษอาหารตกค้างในช่องปากและลำคอ ทำให้ทอนซิลอักเสบมากขึ้นได้ น้ำยาบ้วนปากจะช่วยลดปริมาณของเชื้อแบคทีเรียได้บ้าง(ชั่วคราว)ในรายที่มีการอักเสบติดเชื้อบริเวณคอ น้ำยาบ้วนปากบางชนิด อาจมีส่วนผสมของยาลดการอักเสบหรือยาชา ช่วยลดอาการเจ็บคอได้ น้ำยาบ้วนปากมีหลายชนิด ควรเลือกใช้ชนิดที่ไม่มีส่วนผสมของแอลกอฮอล์ หรือมีน้อยที่สุด เพื่อป้องกันการระคายเคืองต่อเยื่อบุช่องปาก หลีกเลี่ยงน้ำยาที่มีส่วนผสมของกรด เพราะจะทำให้ผิวฟันกร่อน เคลือบฟันบางลง และเกิดอาการเสียวฟันตามมาได้ ถ้าใช้แล้วรู้สึกว่ามีอาการเจ็บคอ หรือระคายคอมากขึ้นก็ไม่ควรใช้ ก่อนใช้ต้องศึกษาส่วนผสมและวิธีใช้ข้างขวดให้ดีก่อน ให้ใช้ในปริมาณพอเหมาะ ระยะเวลานานพอควร ถ้าเป็นแบบเข้มข้น ควรเจือจางเพื่อหลีกเลี่ยงอาการแสบร้อน ระคายคอ เราสามารถทำน้ำยาบ้วนปากได้เองง่าย ๆ โดยใช้เกลือป่นประมาณครึ่ง -1 ช้อนชาละลายในน้ำอุ่นค่อนแก้ว ใช้บ้วนปากได้ดี ประหยัด และปลอดภัย หากเป็นต่อมทอนซิลอักเสบเฉียบพลันบ่อย ๆ ต่อมทอนซิลจะโตขึ้น แล้วเปลี่ยนสภาพเป็นแบบเรื้อรัง และอาจมีการอักเสบอย่างเฉียบพลันเป็น ๆ หาย ๆ ได้ การที่ต่อมทอนซิลโตจะทำให้เกิดร่องหรือซอก ซึ่งเศษอาหารอาจเข้าไปตกค้างอยู่ได้ ทำให้เกิดการอักเสบยืดเยื้อออกไป โดยทั่วไป แพทย์จะพิจารณาตัดต่อมทอนซิล เมื่อ 1. เป็นภาวะต่อมทอนซิลอักเสบเรื้อรังที่รักษาด้วยยาไม่ได้ผล หรือเกิดการอักเสบปีละหลายครั้งหลายปีติดต่อกัน ทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่แย่ลง เช่น ต้องขาดงาน หรือขาดเรียนบ่อย 2. เมื่อต่อมทอนซิลโตมาก ๆ ทำให้เกิดอุดกั้นทางเดินหายใจ และมีอาการนอนกรน และ / หรือภาวะหยุดหายใจขณะหลับตามมา 3. ผู้ป่วยที่มีต่อมทอนซิลโต และแพทย์สงสัยว่าอาจเป็นมะเร็งของต่อมทอนซิลโดยตรง หรือมีมะเร็งที่ต่อมน้ำเหลืองบริเวณคอ แล้วหาตำแหน่งมะเร็งต้นเหตุไม่เจอ แต่แพทย์สงสัยว่าอาจเป็นมะเร็งที่มาจากต่อมทอนซิล การผ่าตัดเอาต่อมทอนซิลออก เป็นการกำจัดไม่ให้ต่อมทอนซิลติดเชื้อบ่อย สำหรับผู้ป่วยเด็กทางเดินหายใจก็จะโล่งขึ้นด้วย ในการตัดต่อมทอนซิลทิ้งไม่มีข้อเสีย เมื่อตัดทิ้งตามข้อบ่งชี้ที่ถูกต้องและเหมาะสม ต่อมทอนซิลที่ตัดทิ้งมักจะเป็นต่อมที่ไม่ทำงานแล้ว จึงไม่ฆ่าเชื้อโรค แต่จะเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคแทน เนื่องจากมีต่อมน้ำเหลืองในช่องคออีกมากมายที่ทำงานจับเชื้อโรคแทนต่อมทอนซิลได้ การผ่าตัดเอาต่อมทอนซิลออก จึงไม่ได้ทำให้ภูมิคุ้มกันของร่างกาย หรือของช่องปากลดลงแต่อย่างใด . สอบถามเพิ่มเติมได้ที่คลินิกอายุรกรรม โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี 039-319888

โรคเชื้อราในช่องหู

โรคเชื้อราในช่องหู

โรคเชื้อราในช่องหู โรคเชื้อราในช่องหู ถือเป็นโรคหูชั้นนอกอักเสบจากเชื้อรา มักพบหลังเล่นน้ำ หรือใช้ไม้แคะหูร่วมกับผู้ที่เป็นเชื้อราในช่องหู อาการ คันหูมาก อาจมีอาการปวดหู หรือหูอื้อ เมื่อใช้ไฟส่องในรูหู อาจพบขุยขาวๆ ที่ผิวหนังรอบ ๆ รูหู การรักษา ทุกครั้งที่มีอาการ ควรไปพบแพทย์เพื่อตรวจประเมินว่าการวินิจฉัยและรักษาอย่างเหมาะสม หากเป็นซ้ำบ่อย ๆ แพทย์จะประเมินว่ายังคงเป็นเรื่องเชื้อราในหูอยู่เหมือนเดิมหรือไม่ และควรสอบถามแพทย์ที่รักษาโดยตรงอีกครั้งว่าเหตุใดจึงเป็นบ่อยๆ อาจจะต้องซักประวัติเพิ่มเติม หรือตรวจหาโรคร่วมอื่นๆด้วยต่อไปฃ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่คลินิกหู คอ จมูก โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี โทร. 039-319896

เนื้องอกในรูจมูก/ริดสีดวงจมูก (Nasal polyps)

เนื้องอกในรูจมูก/ริดสีดวงจมูก (Nasal polyps)

เนื้องอกในรูจมูก/ริดสีดวงจมูก (Nasal polyps) เนื้องอกในรูจมูก มักมีสาเหตุมาจากการเป็นไข้หวัดเรื้อรัง เช่น ภูมิแพ้อากาศ หรือการติดเชื้อของรูจมูก มักไม่มีอันตรายร้ายแรง เว้นแต่ก้อนไม่โตมากจนมีผลต่อการหายใจ และไม่เสียการรับกลิ่น อาการ คัดจมูก แน่นจมูก หายใจไม่สะดวก พูดเสียงขึ้นจมูก หากเป็นเรื้อรังอาจสูญเสียการรับกลิ่น ปวดหัวคิ้วหรือโหนกแก้ม กรณีก้อนอุดตันรูไซนัส การรักษา การผ่าตัดเป็นการรักษาหลักที่ทำให้หายขาด แต่ก็มีบางรายที่เกิดเนื้องอกซ้ำ สอบถามข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่คลินิกหู คอ จมูก โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี โทร. 039-319896

Hospital Logo

ติดต่อสอบถามเจ้าหน้าที่

บริการให้คำปรึกษาตลอด 24 ชั่วโมง