โรคหลอดเลือดสมอง ร้ายแรงแต่ป้องกันได้

โรคหลอดเลือดสมอง ร้ายแรงแต่ป้องกันได้ ด้วยการใส่ใจสุขภาพและหลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง

โรคหลอดเลือดสมอง จะมีทั้งโรคหลอดเลือดสมองตีบและโรคหลอดเลือดสมองแตก ซึ่งชนิดของโรคจะขึ้นอยู่กับสาเหตุที่ทำให้เกิด ทุกเพศทุกวัยสามารถป่วยเป็นโรคนี้ได้จากปัจจัยที่ต่างกัน ซึ่งโรคนี้นับว่าเป็นโรคร้ายแรงที่เราพบว่าเป็นต้นเหตุของการเสียชีวิตอยู่บ่อยครั้ง แต่คุณรู้หรือไม่ว่า? โรคหลอดเลือดสมองสามารถป้องกันได้ ด้วยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต เพื่อสุขภาพที่ดีของตัวคุณเอง

สิ่งที่ควรปฏิบัติ เพื่อลดโอกาสเกิดโรคหลอดเลือดสมอง

  • ควบคุมความดันโลหิต เมื่ออายุมากขึ้น ความดันโลหิตจะเพิ่มขึ้นตามอายุ จึงต้องได้รับการตรวจวัดความดันโลหิตให้สม่ำเสมอ อย่างน้อยปีละ 1-2 ครั้ง
  • ควบคุมเบาหวาน พยายามรักษาระดับน้ำตาลในเลือด ให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ
  • รับประทานอาหารที่มีประโยชน์และถูกสุขลักษณะ โดยลดการบริโภคอาหารที่มีไขมันอิ่มตัว และโคเลสเตอรอล รับประทานอาหารที่มีกากใยสูง เช่น ผัก ผลไม้ ข้าวซ้อมมือ อาหารประเภทธัญพืช หลีกเลี่ยงอาหารที่รสเค็มจัดเกินไปหรือผ่านกระบวนการปรุงด้วยเกลือ เช่น อาหารหมักดอง อาหารตากแห้ง หรืออาหารกระป๋อง เป็นต้น
  • งดสูบบุหรี่ เมื่อหยุดสูบบุหรี่ 1 ปี สามารถลดปัจจัยเสี่ยงที่จะเกิดโรคหลอดเลือดสมองลงถึงครึ่งนึ่ง
  • ถ้าหัวใจเต้นผิดจังหวะ (AF: Atrial Fibrillation) เพื่อพบแพทย์เพื่อทำการรักษาให้เร็วที่สุด
  • ควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด ซึ่งต้องปรับวิถีการดำเนินชีวิตให้ถูกสุขลักษณะหรือการรับประทานยาลดระดับไขมันในเลือดตามคำสั่งแพทย์
  • การออกกำลังกาย ควรใช้เวลาในการออกกำลังกายอย่างเหมาะสมดังต่อไปนี้
    • ออกกำลังกายเบา ๆ ควรใช้เวลาประมาณ 60 นาที
    • ออกกำลังกายระดับปานกลาง ควรใช้เวลาประมาณ 30-60 นาที
    • ออกกำลังกายที่ใช้แรงมาก ควรใช้เวลาประมาณ 20-30 นาที
  • ควรงดดื่มแอลกอฮอล์
  • ควบคุมน้ำหนักตัว โดยการปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต เช่น ลดการรับประทานอาหารที่มีแคลอรี่สูง และออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ

ขอบคุณข้อมูลจาก : BDMS สถานีสุขภาพ

บทความที่เกี่ยวข้อง

โรคหลอดเลือดสมอง เร็วก็รอด...ปลอดอัมพาต 1

โรคหลอดเลือดสมอง เร็วก็รอด...ปลอดอัมพาต 1

โรคหลอดเลือดสมอง เร็วก็รอด...ปลอดอัมพาต 2

โรคหลอดเลือดสมอง เร็วก็รอด...ปลอดอัมพาต 2

นอนหลับอย่างไรให้สมองสดใสหลังตื่น

นอนหลับอย่างไรให้สมองสดใสหลังตื่น

นอนหลับอย่างไรให้สมองสดใสหลังตื่น เพราะการนอนหลับมีความสำคัญกับชีวิตและมีความสัมพันธ์กับการสะสมพลังงาน การสร้างสมดุลให้ทุกระบบของร่างกาย ดังนั้นการนอนหลับให้ดีไม่เพียงช่วยให้สมองแข็งแรง แต่ช่วยให้สมองได้ทำความสะอาดไปในตัวด้วย ในชีวิตประจำวันระหว่างการตื่นตัวของคน สมองและร่างกายจะมีการใช้พลังงานและเกิดผลิตผลของเหลือใช้ในระบบต่าง ๆ เสมือนเป็นขยะที่ต้องกำจัดออก หากมีปริมาณมาก รุงรัง ระเกะระกะในสมองจะส่งผลให้เกิดความบกพร่องของการส่งกระแสประสาท ความรู้ความจำถดถอย อารมณ์แปรปรวน และหากเซลล์ประสาทที่เสียหายเป็นเซลล์ประสาทที่ควบคุมการทำงานของอวัยวะต่าง ๆ ร่วมด้วย สุดท้ายจะทำให้เกิดภาวะการทำงานล้มเหลวของหลายระบบของร่างกาย นอนหลับให้สมองสดใส การนอนหลับที่ช่วยให้สมองได้ทำความสะอาดและสดใสหลังตื่นนอน ได้แก่ นอนหลับในปริมาณที่เหมาะสม รูปแบบและตารางการนอนหลับสม่ำเสมอ เริ่มต้นหลับง่าย หลับต่อเนื่อง ไม่หลับ ๆ ตื่น ๆ ไม่ลุกเข้าห้องน้ำมากกว่า 1 ครั้งต่อคืน มีคุณภาพการนอนหลับที่ดี อาทิ สมองหลับได้ทั้งระยะหลับตื้น หลับลึก และหลับฝัน ครบวงจรอย่างสมบูรณ์ หายใจได้ดี ไม่หยุดหายใจ ไม่ติดขัด ไม่กรน ไม่กัดฟัน หัวใจเต้นเป็นจังหวะปกติ กล้ามเนื้อผ่อนคลายขณะหลับ ไม่ละเมอ ไม่มีการกระตุกของร่างกาย หลับสงบไม่ผวากรีดร้อง ประโยชน์จากคุณภาพการนอนที่ดี หากมีปริมาณ รูปแบบ และคุณภาพการนอนหลับที่ดีจะส่งผลดีต่อสมอง ไม่ว่าจะเป็น สมองกำจัดผลิตผลเหลือใช้ของเซลล์ประสาท เสริมสร้างความจำ พัฒนาทักษะต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ร่างกายทำงานได้เป็นปกติในภาพรวมด้วย อย่างไรก็ตามด้วยความแตกต่างของแต่ละบุคคล การจะมีลักษณะการนอนหลับที่ดีทั้งรูปแบบ ปริมาณ และคุณภาพที่เหมาะสมจำเป็นจะต้องได้รับการตรวจโดยแพทย์เฉพาะทางด้านการนอนหลับเพื่อสร้างสุขภาพการนอนหลับและสร้างพื้นฐานสุขภาพที่ดีให้กับร่างกาย ขอบคุณข้อมูลจาก : ศูนย์สมองและระบบประสาท โรงพยาบาลกรุงเทพอินเตอร์เนชั่นแนล

“ภาวะเลือดออกในสมอง….อันตรายถึงชีวิต”

“ภาวะเลือดออกในสมอง….อันตรายถึงชีวิต”

“ภาวะเลือดออกในสมอง….อันตรายถึงชีวิต” 5 คำถาม คำตอบ ภาวะเลือดออกในสมอง เข้าใจง่ายๆ รู้เร็ว รักษาเร็ว สุขภาพดี โดย นพ.อดิศักดิ์ แทนปั้น แพทย์ผู้ชำนาญการสาขาประสาทศัลยศาสตร์ 1. ภาวะเลือดออกในสมองคืออะไรและมีสาเหตุเกิดจากอะไร ภาวะเลือดออกในสมอง คือ กลุ่มหนึ่งของโรคหลอดเลือดสมอง ที่เกิดหลอดเลือกสมองแตกเป็นก้อนเลือดไปกดเนื้อสมอง ทำให้เกิดอาการตามตำแหน่งที่กด เช่น อาการชาอ่อนแรง พูดไม่ชัด ปวดศีรษะ ชักเกร็ง ซึมลง และถ้าเลือดออกปริมาณมากก็มีผลกดก้านสมองจนเสียชีวิตได้ สาเหตุของเลือดออกในสมองมีสองกลุ่มสาเหตุหลักๆคือ กลุ่มที่หนึ่งจากหลอดเลือดสมองโดยตรง เช่น ภาวะความดันสูง ภาวะหลอดเลือดสมองโป่งพอง ภาวะหลอดเลือดสมองผิดปกติ กับกลุ่มที่สองคือจากปัจจัยอื่นมาส่งผล เช่น อุบัติเหตุสมองได้รับบาดเจ็บ เนื้องอกในสมอง หรือภาวะการแข็งตัวของเลือดผิดปกติหรือมาจากการทานยาที่ส่งผล 2. การวินิจฉัยเลือดออกในสมองมีวิธีการอย่างไร เลือดออกในสมองเป็นภาวะฉุกเฉินทางการแพทย์ที่ต้องได้รับการรักษาอย่างเร่งด่วน นอกจากประวัติของผู้ป่วยและการประเมินอาการแล้ว แพทย์จะทำการวินิจฉัยอย่างละเอียดด้วยวิธี CT scan ทำ MRI Scan หรือการตรวจหลอดเลือดโดยใช้เครื่องถ่ายภาพสนามแม่เหล็ก และตรวจภาพรังสีสวนหลอดเลือดสมองเพื่อประเมินภาวะเส้นเลือดแดงโป่งพอง 3. การรักษาภาวะเลือดออกในสมองมีวิธีการอย่างไร การรักษาภาวะเลือดออกในสมองเป็นการรักษาภาวะฉุกเฉิน โดยพิจารรณาปัจจัย ปริมาณเลือดที่ออกในสมอง สาเหตุ ตำแหน่งและรวมถึงขอบเขตที่เลือดออก การรับการรักษาอย่างทันท่วงทีจะช่วยให้ลดความเสียหายที่เกิดขึ้นที่สมองและช่วยให้สามารถฟื้นตัวจากภาวะเลือดออกในสมองได้เร็ว แนวทางการรักษาที่เหมาะสมกับแต่ละบุคคล เช่น การรักษาด้วยยา การผ่าตัดเปิดกะโหลกศีรษะ การผ่าตัดใส่สายระบายเลือดและน้ำจากโพรงสมอง และการผ่าตัดโดยใช้คลิปหนีบที่บริเวณเส้นเลือดโป่งพอง เป็นต้น 4. คำแนะนำและการลดภาวะเสี่ยงเลือดออกในสมองทำอย่างไรได้บ้าง ดูแลสุภาพร่างกายและจิตใจ ด้วยหลักการ 3 อ คือ อาหารดี ทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ และอารมณ์ดี ใช้ชีวิตด้วยทัศนคติที่ดี ตรวจสุขภาพเป็นประจำทุกปี และเมื่อมีโรคประจำตัว เช่น ความดันโลหิตสูง ควรรับประทายยาควบคุมในระดับที่เหมาะสม ปรับเปลี่ยนพฤติกรรม เช่น งดบุหรี่ เลิกสุรา ขับขี่มอเตอร์ไซด์ใส่หมวกนิรภัยเสมอ 5. การฟื้นฟูรักษาภาวะเลือดออกในสมองให้ผู้ป่วยกลับมาเป็นปกติใช้ระยะเวลานานเท่าไร การฟื้นฟูจากภาวะเลือดออกในสมองใช้ระยะเวลานาน มากกว่าสามเดือนจนถึงปี เพื่อให้ระบบประสาทสมองฟื้นฟูมาเป็นปกติ และขึ้นกับปัจจัยผู้ป่วยร่วมกับการทานยาสม่ำเสมอ กาพภาพอย่างต่อเนื่อง และรับประทานอาหารที่มีคุณค่าในการช่วยเสริมสร้างระบบประสาทเพื่อให้ผู้ป่วยฟื้นตัวจากเดิม “ภาวะเลือดออกในสมองก่อให้เกิดความพิการและเสียชีวิตได้ มีผลกับทั้งคนไข้ รวมถึงคนในครอบครัวที่ต้องดูแล การป้องกันไม่ให้เกิดจึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุด ด้วยการดูแลสุขภาพ ตรวจร่างกายสม่ำเสมอ ใช้ชีวิตอย่างรอบคอบสามารถลดความเสี่ยงได้ เมื่อมีอาการหรือสงสัยว่าเรามีเลือดออกในสมองควรพบแพทย์ทางสมองอย่างรวดเร็ว เพื่อการรักษาได้ผลดี” สอบถามเพิ่มเติมได้ที่ศูนย์สมองและระบบประสาท โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี 039-319888

โรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer)

โรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer)

โรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer) โรคอัลไซเมอร์ เกิดจากการตายของเซลล์สมองเป็นจำนวนมาก เป็นสาเหตุหลักในการเกิดโรคสมองเสื่อมโดนอาการของโรคจะเป็นไปอย่างช้าๆ เริ่มต้นจากไม่มีความผิดปกติเริ่มงความตำ ต่อมาจะเริ่มมีความจำถดถอยมากขึ้นเรื่อยๆ ส่งผลกระทบต่อการดำเนินชีวิตและการเข้าสังคม อาการของโรคอัลไซเมอร์ การป้องกันโรคเพื่อลดความเสี่ยงโรคอัลไซเมอร์ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ ออกกำลังกายอย่างน้อย 30 นาที 5 วันต่อสัปดาห์ ฝึกการทำงานของสมอง ไม่สูบบุหรี่ ไม่ดื่มแอลกอฮอล์ ติดต่อสอบถามเพิ่มเติมที่ โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี 039-319888

กลุ่มอาหารเพิ่มคความเสี่ยงอัลไซเมอร์-เบาหวาน

กลุ่มอาหารเพิ่มคความเสี่ยงอัลไซเมอร์-เบาหวาน

กลุ่มอาหารเพิ่มคความเสี่ยงอัลไซเมอร์-เบาหวาน สมองของเราใช้งานหนักในทุกๆวัน การบำรุงสมองถือว่าสำคัญ โดยเฉพาะการบริโภคอาหารที่มีประโยชน์ ครบ 5 หมู่ เน้นผักใบเขียวที่อุดมด้วยวิตามิน แร่ธาตุ ต่างๆ จะช่วยลับคมและชะลอความเสื่อมของสมองตามวัยและป้องกันโรคอัลไซเมอร์ได้แม้โรคดังกล่าวจะมีโอกาสส่งต่อทางพันธุกรรมได้ โดยในกลุ่มอาหารแน่นอนว่ามีทั้งดีต่อสมองและทำร้ายสมองได้เช่นเดียวกัน หากกินเข้าไปมองเกินไป อาจทำให้คุณแก่ก่อนวัยและก่อโรคอัลไซเมอร์ได้ ซึ่งการหลีกเลี่ยงบริโภคอาหารเหล่านี้ จะช่วยให้คุณรักษาเซลล์สมองอันมีค่าไว้ได้ 4 อาหารที่แย่ที่สุดสำหรับสุขภาพสมอง น้ำตาลทรายขาว จัดอยู่ในอันดับต้น ๆ ของอาหารที่แย่ที่สุดสำหรับสุขภาพสมอง ซึ่งคุณอาจจะแปลกใจหรือไม่ก็ได้ น้ำตาลขัดสีมากเกินไป เช่น น้ำเชื่อมข้าวโพดฟรุกโตสสูง (HFCS) อาจส่งผลเสียต่อสมองได้ คุณจะพบน้ำตาลทรายขาวบริสุทธิ์ในอาหาร เช่น น้ำอัดลม น้ำผลไม้กระป๋อง ลูกอม ขนมขบเคี้ยว และแม้กระทั่งอาหารเพื่อสุขภาพ เช่น กราโนลาบาร์ โยเกิร์ตรสหวาน ผลไม้กระป๋อง และน้ำสลัด! ฉะนั้นการเลือกซื้อเป็นทางออกของการบริโภคน้ำตาลเกินความจำเป็น ในทางอ้อม อาจเชื่อมโยงกับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้นในการเป็นโรคเบาหวานประเภท 2 และโรคอัลไซเมอร์ นำไปสู่ความผิดปกติของการเผาผลาญอื่นๆ เช่น ความดันโลหิตสูง คอเลสเตอรอลสูง และโรคหัวใจ ซึ่งทั้งหมดนี้จะเพิ่มความเสี่ยงในการเกิดภาวะสมองเสื่อมด้วย คาร์โบไฮเดรตที่ผ่านการขัดสี อย่างเช่น แป้งขาวแปรรูป (เช่น ขนมปังขาว พาสต้า) อาหารเหล่านี้มีปริมาณไฟเบอร์ถูกกำจัดออกระหว่างการแปรรูป ซึ่งเป็นสาเหตุให้ ทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นมากกว่าโฮลเกรน ซึ่งเป็นข่าวร้ายสำหรับสมองของคุณ คาร์โบไฮเดรตขัดสีที่เพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดแสดงให้เห็นว่าไม่ดีต่อสมองของคุณ ในความเป็นจริงการศึกษาชิ้นหนึ่งแสดงให้เห็นว่าแม้แต่อาหารมื้อเดียวที่เพิ่มระดับน้ำตาลในเลือดอย่างมากก็อาจทำให้ความจำของคุณแย่ลงได้ นักวิจัยระบุว่าอาจเป็นเพราะอาหารเหล่านี้ทำให้เกิดการอักเสบของฮิปโปแคมปัส ซึ่งเป็นพื้นที่ของสมองที่ส่งผลต่อความจำ การอักเสบของสมองยังเชื่อมโยงกับการพัฒนาของภาวะสมองเสื่อม ตัวอย่างเช่น นักวิจัยจากการศึกษาหนึ่งพบว่าในบรรดาผู้สูงอายุ ผู้ที่บริโภคคาร์โบไฮเดรตมากกว่า 58 เปอร์เซ็นต์ของแคลอรี่ต่อวันมีความเสี่ยงต่อความบกพร่องทางจิตและภาวะสมองเสื่อมเพิ่มขึ้นสองเท่า! ไขมันทรานส์ ไขมันนั้นมีทั้งแบบ ไขมันดีและไขมันเลว โดยไขมันดี เช่น โอเมก้า 3 เพื่อปรับปรุงความจำและลดความเสี่ยงของการลดลงของความรู้ความเข้าใจ ในทางกลับกัน ไขมันเลวอย่างไขมันทรานส์อาจให้ผลตรงกันข้าม และมักพบในอาหารอย่างเช่น มาการีน ขนมอบอย่างเค้กและคุกกี้ ครีมเทียมสำหรับกาแฟ แป้งโดสำเร็จรูปแช่เย็น เช่น บิสกิตและครัวซองต์ อาหารทอด และมีงานวิจัยจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ พบว่าการได้รับไขมันทรานส์ในปริมาณมากทำให้มีความเสี่ยงสูงต่อโรคอัลไซเมอร์ความจำเสื่อมและสติปัญญาลดลง แอลกอฮอล์ การดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปส่งผลต่อสมองโดยตรงโดยรบกวนสารสื่อประสาท ซึ่งเป็นสารเคมีที่สมองใช้ในการสื่อสาร การดื่มแอลกอฮอล์อย่างเรื้อรังยังสัมพันธ์กับขนาดสมองที่ลดลงการวิจัยจำนวนมากแสดงให้เห็นว่าการดื่มแอลกอฮอล์มากเกินไปเป็นพิษต่อสมอง ยิ่งกว่านั้น การศึกษาเมื่อเร็วๆ นี้พบว่าการดื่มสุราอาจนำไปสู่อาการอัลไซเมอร์ได้เร็วขึ้น และมีอาการรุนแรงมากขึ้น แทนอาหารทำลายสมองเป็นอาหารบำรุงสมองที่อร่อยไม่แพ้กัน! เปลี่ยนน้ำตาลแปรรูปและน้ำเชื่อมข้าวโพดฟรุกโตสสูงกับอาหารรสหวานตามธรรมชาติ เช่น เบอร์รี่และช็อกโกแลต (นั่นคือโกโก้ 70 เปอร์เซ็นต์) ซึ่งมีสารต้านอนุมูลอิสระที่ปกป้องสมองสูง! เปลี่ยนจากน้ำมันพืชเป็นน้ำมันมะกอกบริสุทธิ์ น้ำมันมะพร้าว และน้ำมันอะโวคาโด ซึ่งล้วนเป็นส่วนหนึ่งของอาหารบำรุงสมอง ทานถั่วอย่างวอลนัท พิสตาชิโอ และอัลมอนด์ ซึ่งมีไขมันที่สมองต้องการเพื่อการเจริญเติบโต กระตุ้นสมองด้วยเครื่องเทศ ซึ่งช่วยลดการอักเสบ เช่น ขมิ้น พริกป่น และอบเชย อาหารเป็นส่วนหนึ่งที่ช่วยชะลอและป้องกันโรคอย่าลืมออกกำลังกายเป็นประจำ หากพบความปิดปกติสัญญาณของอัลไซเมอร์ อย่างเช่น หลงลืมบ่อย ลืมการใช้งานของใช้ที่ใช้เป็นประจำ เช่น ลืมว่าปากกาหรือกรรไกรคืออะไร หรือมีไว้ทำอะไร เช่นเดียวกับคนรอบข้างเริ่มบอกถึงความเปลี่ยนแปลงที่น่าสงสัย ให้รีบพบแพทย์เพื่อรับการวินิจฉัยโดยด่วนนะคะ ขอบคุณข้อมูลจาก : BDMS สถานีสุขภาพ

Hospital Logo

ติดต่อสอบถามเจ้าหน้าที่

บริการให้คำปรึกษาตลอด 24 ชั่วโมง