เกาต์ หญิงกับชายใครเสี่ยงกว่ากัน

โรคเกาต์พบในผู้ชายมากกว่าผู้หญิงหลายเท่า นั้นก็เพราะเกี่ยวข้องกับกรดยูริคที่เพิ่มขึ้นมากตามอายุ ขณะที่ผู้หญิงจะเพิ่มขึ้นหลังวัยหมดประจำเดือน รู้จักโรคเกาต์ที่ไม่ว่าใครก็เป็นได้!

โรคเกาต์ (gout) ข้ออักเสบที่หายเองไม่ได้ เกิดจากการระดับกรดยูริกสูงในเลือด ซึ่งเป็นผลมาจากการสะสมกรดยูริคในร่างกายจำนวนมากเป็นระยะเวลานาน ก็จะไปตกตะกอนอยู่บริเวณรอบๆ ข้อ หรือภายในข้อ ทำให้เกิดการอักเสบขึ้น โดยเฉพาะที่ข้อ บริเวณใกล้ข้อและที่ไตเหมือนกัน หากได้รับการรักษาที่ถูกต้องจะได้รับประโยชน์มาก แต่หากไม่ได้รับการรักษา หรือได้รับการรักษาไม่ถูกต้อง ผู้ป่วยอาจต้องพบกับการพิการทางข้อ และหรือไตวายเรื้อรังได้

ทำไมผู้ชายถึงเสี่ยงโรคเกาต์มากกว่าผู้หญิง

โรคเกาต์มักเป็นกับผู้ชายวัยสูงอายุ เนื่องจากภาวะกรดยูริคในเลือดที่สูงนั้น จะยังไม่เกิดการตกตะกอน และเกิดข้ออักเสบทันที แต่ต้องใช้ระยะเวลาที่กรดยูริคในเลือดสูงเป็นเวลานานหลายสิบปี พบว่าในผู้ชายที่มีกรดยูริคสูงนั้น ระดับของยูริคในเลือดจะเริ่มสูงขึ้นตั้งแต่ช่วงวัยรุ่น และสูงไปนานจนกว่าจะเริ่มมีอาการคืออายุประมาณ 40 ปีขึ้นไป

ส่วนผู้หญิงระดับยูริคจะเริ่มสูงขึ้นหลังจากวัยหมดประจำเดือน เนื่องจากฮอร์โมนเพศหญิงโดยเฉพาะเอสโตรเจนจะมีผลทำให้กรดยูริคในเลือดไม่สูง โดยทั่วไปโรคเกาต์พบได้ในเพศชายมากกว่าเพศหญิง โดยทั่วไปก็พบเมื่ออายุมากกว่า 30 ปี ในเพศหญิงส่วนมากก็จะพบแต่ในวัยหมดประจำเดือน ถ้าหากพบโรคเกาต์ในเด็กก็ต้องมองหาความผิดปกติของโรคทางพันธุกรรม บางชนิดซึ่งพบได้น้อยมาก

โรคที่พบร่วมกับโรคเกาต์

  • โรคอ้วน มีโอกาสมากกว่าคนผอม
  • โรคเบาหวาน คนไข้โรคเกาต์โดยทั่วไปก็พบได้บ่อยว่ามีน้ำหนักตัวมากจึงพบโรคเบาหวานได้บ่อย
  • ไขมันในเลือดสูง โดยเฉพาะระดับไขมันไตรกรีเซอไรด์ ซึ่งพบว่าสูงได้ประมาณ80%ของคนไข้โรคเกาต์ทั้งหมด
  • ความดันโลหิตสูง จากการศึกษาวิจัยพบโรคความดันโลหิตสูงร่วมกับโรคเกาต์ได้บ่อย
  • โรคหลอดเลือดแข็งผิดปกติ
  • ผู้ป่วยที่ได้รับพิษจากสารตะกั่ว
  • โรคไตวายเรื้อรัง
  • โรคเลือดชนิด sickle cell anemia, myeloproliferative diseas
  • โรคเลือดบางชนิด โรคมะเร็ง โดย เฉพาะมะเร็งต่อมน้ำเหลือง หรือได้รับเคมีบำบัด จะทำให้เซลล์ถูกทำลายมากอย่างรวดเร็ว จะทำให้ระดับกรดยูริคในเลือดสูงมากๆ ได้ ทำให้เกิดโรคเกาต์ ข้ออักเสบ นิ่วไต หรือแม้แต่ตัวกรดยูริคเองไปอุดตันตามท่อเล็กๆ ในเนื้อไตทำให้เกิดไตวายได้
  • การดื่มเหล้า หรือเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์ จะเพิ่มความเสี่ยงที่จะเป็นโรคเกาต์ เนื่องจากไปขัดขวางกระบวนการขับกรดยูริคออกจากร่างกาย อีกทั้งแอลกอฮอล์ช่วยเร่งปฏิกิริยาการสร้างกรดยูริค
  • ยาบางชนิดเพิ่มความเสี่ยงที่จะทำให้เกิดโรคเกาต์ โดยจะทำให้ระดับกรดยูริคในเลือดสูง เนื่องจากยาเหล่านี้ไปลดการขับถ่ายกรดยูริคออกทางไต ทำให้เกิดการคั่งของกรดยูริคในเลือด จนกระทั่งทำให้ระดับของกรดยูริคในเลือดสูง เช่น ยาแอสไพริน,ยาขับปัสสาวะกลุ่ม,ยารักษาโรคพาร์กินสัน,ยารักษาวัณโรค เช่น ไพราซินาไมด์ หรืออีแธมบูทอล,ยากดภูมิคุ้มกัน

ทั้งนี้ผู้ป่วยโรคเกาต์ 90% เกิดจากการที่กรดยูริคถูกสร้างขึ้น แต่ไตทำหน้าที่ขับถ่ายออกมาได้ช้าหรือน้อย แต่ไม่เสมอไปทุกคน และหลายคนที่มีระดับกรดยูริกสูงในกระแสเลือดกลับไม่มีอาการข้ออักเสบจากโรคเกาต์ ส่วนที่เหลืออีกร้อยละ 10 เกิดจากการที่ร่างกายสร้างกรดยูริคมากเกินไป พบว่ายูริคในเลือดที่สูงนั้น อย่างไรก็ตามหากมีอาการปวดข้อควรรีบพบแพทย์โดยเร็ว

ขอบคุณข้อมูลจาก : BDMS สถานีสุขภาพ

บทความที่เกี่ยวข้อง

กรดยูริก กับ โรคเกาต์

กรดยูริก กับ โรคเกาต์

“กรดยูริก” สะสมในเลือดสูงกระตุ้นโรคเกาต์ พบได้ที่ไหนบ้าง? รู้จัก กรดยูริก (Uric Acid) ตัวการร้ายที่หากสะสมในร่างกายมาก จะทำใก้เกิดภาวะกรดยูริกในเลือดสูง (Hyperuricemia) เสี่ยงโรคเกาต์ ภาวะไตวาย โรคหัวใจ โรคหลอดเลือดสมอง เผยกระบวนการทางเคมี วิธีรักษา และแหล่งกรดยูริกที่ควรกินแต่พอดี กรดยูริก (Uric Acid) สารที่เกิดจากกระบวนการทางเคมีในร่างกายในขณะที่มีการสร้างหรือซ่อมแซมเซลล์ต่างๆ และอีกส่วนหนึ่งเกิดจากอาหารที่มีกรดยูริกสูง เช่น สัตว์ปีก เครื่องในสัตว์ ยอดผัก ถั่วต่างๆ หรือการดื่มเครื่องดื่ม เช่น เบียร์ น้ำผลไม้ที่มีน้ำตาลฟรุคโตส ฉะนั้นควรกินแต่พอดีหรือหลีกเลี่ยงในคนที่มีความเสี่ยงเพราะหากร่างกายมีกรดยูริกมากเกินกว่าความสามารถของไตจะขับออกได้ หรือไตมีความเสื่อมจนความสามารถในการขับกรดยูริกออกจากร่างกายลงลง เช่น ในผู้ป่วยไตเสื่อมหรือไตวาย ก็จะทำให้มีการสะสมของกรดยูริกมากขึ้นอีก ภาวะกรดยูริกในเลือดสูง ภาวะกรดยูริกในเลือดสูง (Hyperuricemia) เป็นความผิดปกติที่พบได้บ่อย โดยทางการแพทย์จะกำหนดว่าเมื่อกรดยูริกในเลือดสูงเกินขีดจำกัดของความสามารถในการละลายของกรดยูริก (Monosodium urate) คือ 6.8 มก./ดล. ที่อุณหภูมิ 37 องศาเซลเซียส ถือว่ามีภาวะกรดยูริกสูง ระดับกรดยูริกในเลือดที่เกิน 7 มก./ดล. จะเริ่มมีความเสี่ยงต่อการเป็นโรคข้ออักเสบจากผลึกเกลือยูเรตหรือโรคเกาต์ และเสี่ยงต่อการเป็นนิ่วที่ไต ดังนั้นโดยทั่วๆ ไป เราจึงใช้ระดับกรดยูริก มากกว่า 7 มก./ดล. ในการบอกว่าเป็นภาวะกรดยูริกในเลือดสูงค่าการทำงานของไต (ระดับครีเอตินิน) น้ำหนัก อายุ เพศ ความดันโลหิตและการดื่มแอลกอฮอล์ ล้วนเป็นปัจจัยที่ทำให้เกิดภาวะกรดยูริกในเลือดสูงได้ ปัจจุบันยังพบว่า การมีกรดยูริกสะสมในร่างกายปริมาณมากเป็นเวลานานจะทำให้เกิดภาวะไตเสื่อม เกิดโรคความดันโลหิตสูง ซึ่งนำไปสู่โรคหัวใจ โรคเส้นเลือดสมอง เพิ่มความเสี่ยงเป็นอัมพฤกษ์อัมพาตได้มากขึ้น โดยข้อมูลจากการศึกษาพบว่า ผู้ป่วยชายที่เป็นโรคไตวายจนต้องได้รับการรักษาด้วยการฟอกไต ส่วนหนึ่งเกิดจากการเป็นโรคเก๊าท์หรือมีภาวะกรดยูริกในเลือดสูงมาก่อน ในขณะที่ผู้ป่วยหญิงที่ฟอกไตส่วนมากเกิดจากการเป็นโรคเบาหวาน การรักษาโดยการไม่ใช้ยา ออกกำลังกายและลดน้ำหนัก สามารถทำให้ระดับกรดยูริกในเลือดลดลง และลดความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเกาต์ด้วย จำกัดการรับประทานเนื้อแดงหรืออาหารทะเล การรับประทานเนื้อแดงปริมาณมาก จะทำให้ระดับกรดยูริกในเลือดเพิ่มขึ้น และเพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเกาต์ แต่การรับประทาน พืช ฝัก ถั่ว หรือผักที่มีสารพิวรีนสูง ไม่เพิ่มความเสี่ยงต่อการเป็นโรคเกาต์ ลดหรืองดการดื่มสุรา โดยเฉพาะเบียร์หรือสุราที่ผ่านการกลั่น จำกัดการทานน้ำผลไม้ หรือเครื่องดื่มที่ผสมน้ำตาล รักษาภาวะหรือโรคอื่นที่พบร่วม เช่น โรคความดันโลหิตสูง โรคเบาหวาน หรือภาวะไขมันในเลือดสูง การรักษาโดยการใช้ยา จำเป็นต้องปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อรับวินิจฉัยและการใช้ยาที่ถูกต้องและหมาะสมการตรวจสุขภาพประจำปี จะทำให้เราตรวจพบความผิดปกติ ทำให้แพทย์สามารถวินิจฉัย พร้อมให้คำแนะนำและให้การรักษาได้ถูกต้องและทันท่วงที อย่างไรก็ดีหากพบความผิดปกติของกรดยูริก การลดระดับกรดยูริกในเลือดโดยการปรับพฤติกรรม เป็นวิธีที่ดีที่สุด สามารถทำได้เลย ไม่มีอันตราย หรือผลข้างเคียง และช่วยให้สุขภาพของคุณกลับมาดีขึ้นได้ ขอบคุณข้อมูลจาก : BDMS สถานีสุขภาพ

กินถูกหลัก ช่วยรักษาเกาต์

กินถูกหลัก ช่วยรักษาเกาต์

กรมการแพทย์ แนะปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเกี่ยวกับการรับประทานอาหารและเครื่องดื่มสามารถช่วยลดอาการข้ออักเสบที่เป็นสาเหตุทำให้เกิดโรคเกาต์ได้ เกาต์เป็นโรคข้ออักเสบชนิดหนึ่ง มีผลมาจากการที่มีระดับกรดยูริกในเลือดสูงเป็นเวลานาน ทำให้เกิดการตกผลึกของเกลือยูเรตบริเวณข้อและเนื้อเยื่อต่างๆ ทั่วร่างกาย โดยผลึกดังกล่าวมีผลกระตุ้นระบบภูมิคุ้มกันทำให้เกิดกระบวนการอักเสบตามมา โดยส่วนมากโรคเกาต์มักจะพบได้มากในเพศชายอายุ 30 ปีขึ้นไป ส่วนเพศหญิงจะพบมากในช่วงวัยหลังหมดประจำเดือน อาการของโรคเกาต์ ข้ออักเสบ มักจะมีอาการแบบเฉียบพลันเริ่มแรกมักเป็นข้อเดียว โดยส่วนใหญ่มักจะเกิดที่โคนข้อนิ้วหัวแม่เท้า ข้อเท้า หรือข้อเข่า อาการปวด บวมแดง ร้อน เจ็บเมื่อกด และอาจมีไข้ร่วมด้วย บางรายพบก้อนโทฟัส ซึ่งเกิดจากการสะสมของผลึกเกลือยูเรตในเนื้อเยื่ออ่อน ข้อต่อ กระดูก และกระดูกอ่อน มักพบบริเวณศอก ตาตุ่ม นิ้วมือ นิ้วเท้า ส่วนนิ่วในทางเดินปัสสาวะ พบประมาณร้อยละ 10-25 ของผู้ป่วยโรคเกาต์ แนวทางการรักษาโรคเกาต์โดยวิธีไม่ใช้ยา แนวทางการรักษาโรคเกาต์ควรใช้การรักษาโดยวิธีไม่ใช้ยาและใช้ยาร่วมกัน ซึ่งจะมีประสิทธิภาพดีกว่าการใช้วิธีใดวิธีหนึ่ง ทำได้โดยการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมเกี่ยวกับการรับประทานอาหารและเครื่องดื่มร่วมกับการดูแลโรคร่วมและปัจจัยเสี่ยงของโรคเกาต์ ขณะมีอาการข้ออักเสบกำเริบควรเลือกรับประทานโปรตีนจาก ไข่ เต้าหู้ นมและผลิตภัณฑ์จากนมที่มีไขมันต่ำ ลดการบริโภคเนื้อสัตว์ทุกชนิด รวมถึงอาหารที่มีพิวรีนสูง เช่น เครื่องในสัตว์, ไข่ปลา ลดการรับประทานผลไม้ที่มีรสหวานจัด น้ำผลไม้และเครื่องดื่มที่มีส่วนผสมของน้ำตาลฟรุ๊กโตส เช่น ชาเขียวพร้อมดื่ม งดดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ และควรดื่มน้ำ อย่างน้อย 8 แก้ว ต่อวัน นอกจากนี้หากท่านรับประทานอาหารชนิดใดแล้วมีอาการข้ออักเสบให้หลีกเลี่ยงอาหารชนิดนั้นๆ เพื่อป้องกันข้ออักเสบ ที่สำคัญควรพบแพทย์ตามนัดอยู่เสมอเพื่อเช็กอัพร่างกาย หากมีอาการปวดหรือมีก้อนขึ้นลุกลามควรรีบพบแพทย์ ขอบคุณข้อมูลจาก : BDMS สถานีสุขภาพ

“โรคเกาต์” รักษาหายหรือไม่

“โรคเกาต์” รักษาหายหรือไม่

โรคเกาต์ เกิดจากอะไร “โรคเกาต์” คือโรคที่เกิดจากการสะสมของกรดยูริกในร่างกายเป็นเวลานาน โดยอาจจะเกิดจากปัจจัยทางด้านพันธุกรรม ปัจจัยด้านพฤติกรรม เช่น การดื่มสุรา น้ำหนักเกิน และโรคประจำตัวบางอย่าง เช่น โรคไต รวมถึงการกินยาเป็นประจำบางอย่าง อาการของโรคเกาต์ “โรคเกาต์” จะทำให้เกิดอาการปวดและอักเสบเป็นๆ หายๆ บริเวณข้อต่าง ๆ เช่น ข้อโคนหัวแม่เท้า เป็นต้น ซึ่งเราสามารถสังเกตง่ายๆ ว่าอาการจะไม่มีสาเหตุที่ชัดเจน คือไม่ได้กระทบหรือกระแทกอะไร แต่บางทีก็เกิดการอักเสบขึ้นมา โดยที่มักจะปวดถึงจุดสูงสุดนาน 24 ชั่วโมง ถ้าหากมีอาการแบบนี้ให้รีบสงสัยเลยว่าเป็น “โรคเกานต์” อย่างไรก็ตามหากเป็นแล้ว ไม่ได้รับการรักษาที่ถูกต้อง การอักเสบจะลุกลามไปยังข้ออื่น ๆ ของร่างกายได้ เช่น ข้อเข่า ข้อมือ และ ข้อศอก “เกาต์” โรคที่มักพบในเพศชาย อายุ 40 ปีขึ้นไป นอกจากปัจจัยด้านพันธุกรรมและพฤติกรรม โรคเกาต์จะพบมากในเพศชาย ที่อายุตั้งแต่ 40 ปีขึ้นไป แต่ในช่วงหลังด้วยวิถีชีวิตของคนเราที่เปลี่ยนไปในทางที่ไม่ค่อยดีต่อสุขภาพเท่าไร โรคเกาต์เลยเริ่มพบในคนที่อายุน้อยกว่านี้มากขึ้น การรักษาโรคเกาต์ การรักษาขั้นตอนแรก ต้องรักษาอาการปวดแบบเฉียบพลันให้หายเร็วที่สุด โดยแพทย์จะเลือกใช้ยาที่เหมาะสมกับคนไข้แต่ละคน เนื่องจากยาแต่ละตัวมีข้อดีข้อเสียไม่เหมือนกัน และถ้ามีน้ำในเข่าเยอะ ซึ่งส่งผลให้ปวดเข่าและอึดอัดมาก การรักษาด้วยการเจาะเข่าจะช่วยให้สบายขึ้น อย่างไรก็ตาม เมื่อพ้นระยะอาการแบบเฉียบพลันไปแล้ว อาการปวดบวมหายแล้ว จะนิ่งนอนใจไม่ได้ ยังจำเป็นต้องดูแลอย่างต่อเนื่อง เพราะโรคเกาต์จัดเป็นโรคที่มีอาการเจ็บป่วยเรื้อรัง ต้องงดแอลกอฮอล์ ซึ่งเป็นทั้งสาเหตุและตัวกระตุ้นที่ทำให้อวัยวะบริเวณข้อต่อเกิดอาการอักเสบเพิ่มขึ้น รวมถึงหลีกเลี่ยงกินอาหารบางชนิดด้วย เพราะถ้าทานเยอะไป อาจทำให้กรดยูริกสูงได่ เช่น เครื่องในสัตว์ เนื้อแดง และ อาหารทะเล ยังไม่มีวิธีใด วิธีหนึ่งที่รักษาครั้งเดียว ให้ยูริกหายอย่างถาวร วิธีที่ดีที่สุดคือการปรับเปลี่ยนพฤติกรรม ช่วยหยุดแอลกอฮอล์ ลดน้ำหนัก ดื่มน้ำเยอะๆ และหลังจากนั้นต้องใช้ยาประจำ ขอบคุณข้อมูลจาก : BDMS สถานีสุขภาพ

หญิงวัยทอง เสี่ยงเกาต์

หญิงวัยทอง เสี่ยงเกาต์

ถึงแม้สถิติจะบ่งบอกว่าผู้ชายมีความเสี่ยงโรคเกาต์มากกว่าผู้หญิง 10 เท่า แต่คุณผู้หญิงเองก็ต้องใส่ใจสุขภาพ โดยเฉพาะ "วัยทอง" ไม่แพ้ผู้ชายเนื่องจากฮอร์โมนเพศหญิงเอสโตรเจนที่มีฤทธิ์ขับกรดยูริกลดลง โรคเกาต์ หนึ่งในโรคกระดูก และข้อที่พบบ่อยในผู้สูงอายุ เกิดจากการกินโปรตีนบางชนิดมากเกินไป ซึ่งโปรตีนดังกล่าวจะย่อยสลายเป็นกรดยูริคไปตกตะกอนในข้อ ทำให้ข้อหรือเนื้อเยื่อรอบๆ ข้ออักเสบเฉียบพลันการเกิดโรคเกาต์ผู้ป่วยมักมีระดับกรดยูริกในเลือดสูงเป็นระยะเวลานานพอสมควรโดยเฉลี่ยมากกว่า 20 ปีขึ้นไป โดยเฉพาะถ้าระดับกรดยูริกยิ่งสูง อุบัติการณ์การเกิดโรคจะยิ่งเพิ่มมากขึ้น เกิดอาการได้เร็วยิ่งขึ้น ในเพศชายพบโรคนี้ได้บ่อยกว่าเพศหญิงประมาณ 10 เท่า แต่วัยหลังหมดประจำเดือน เพศหญิงจะพบโรคสูงขึ้นเมื่อเทียบกับเพศชาย การอักเสบ ของข้อครั้งแรกมักพบในเพศชายอายุมากกว่า 30 ปีขึ้นไป โดยเฉลี่ย 40-60 ปี แต่ในเพศหญิงมักพบหลังวัยหมดประจำเดือนแล้ว เพราะในวัยเจริญพันธุ์ผู้หญิงแทบจะไม่มีการเปลี่ยนแปลงค่าจนกว่าจะหมดประจำเดือน ซึ่งเป็นผลจากฮอร์โมนเพศหญิงเอสโตรเจนซึ่งมีฤทธิ์ในการเพิ่มการขับกรดยูริกออกทางปัสสาวะ หลังวัยหมดประจำเดือนระดับกรดยูริกในผู้หญิงจากค่อยๆ สูงขึ้น ใช้เวลาประมาณ 5-10 ปี จนมีค่าใกล้เคียงกับระดับกรดยูริกในเลือดของผู้ชาย โรคที่พบร่วมกับโรคเกาต์ที่ผู้สูงอายุต้องระวัง โรคอ้วน โรคเบาหวาน ไขมันในเลือดสูง โรคไขมันในเลือดสูงโดยเฉพาะระดับไขมันไตรกลีเซอไรด์ พบว่าสูงร้อยละ 80 ของคนไข้โรคเกาต์ทั้งหมด ความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดแข็งผิดปกติ ผู้ป่วยที่ได้รับพิษจากสารตะกั่ว โรคไตวายเรื้อรัง ผู้ป่วยโรคเลือดบางชนิด เช่นโรคมะเร็ง โดยเฉพาะมะเร็งต่อมน้ำเหลือง หรือได้รับเคมีบำบัดจะทำให้เซลล์ถูกทำลายอย่างรวดเร็ว จนทำให้ระดับกรดยูริกในเลือดสูงมากๆ ก่อให้เกิดโรคเกาต์ ข้ออักเสบ นิ่วที่ไต หรือแม้แต่ตัวกรดยูริกเองไปอุดตันตามท่อเล็กๆ ในเนื้อไต ทำให้เกิดไตวายได้ อย่างไรก็ตามข้ออักเสบในระยะแรกมักเป็นเพียง 1-2 ข้อ จะมีการอักเสบรุนแรงเป็นเฉียบพลัน จากระยะเริ่มปวดจนอักเสบเต็มที่ภายใน 24 ชั่วโมง ส่วนมากจะเกิดขึ้นทีละ 1 ข้อ ข้อที่พบบ่อย ได้แก่ โคนนิ้วโป้งเท้า ข้อเท้า ข้อกลางเท้า ข้อเข่า ข้อนิ้วมือ ข้อกลางมือ ข้อมือ ข้อศอก ถ้าไม่ได้รับการรักษาหรือรักษาไม่ถูกต้อง จำนวนข้อที่อักเสบจะเพิ่มขึ้น เริ่มพบที่ข้อมือ ข้อนิ้วมือ และข้อศอก การอักเสบรุนแรงขึ้น เป็นถี่ขึ้นและนานขึ้น จนกลายเป็นการอักเสบเรื้อรัง ขอบคุณข้อมูลจาก : BDMS สถานีสุขภาพ

การรักษาโรคเกาต์

การรักษาโรคเกาต์

ปัจจุบันโรคเกาต์ยังไม่สามารถรักษาให้หายขาด แต่สามารถบรรเทาอาการเป็นๆหายๆ เรื้อรังได้ ทั้งการปรับพฤติกรรมและการใช้ยาควบคู่กันไปภายใต้คำแนะนำของแพทย์ ระยะต้นของโรคเกาต์ ผู้ป่วยอาจมีอาการเบื้องต้น ได้แก่ ปวด 1-2 ข้อ มีอาการปวดเป็นๆ หายๆ และลุกลามไปเรื่อยๆ ถ้าหากไม่ได้รับการรักษาหรือรักษาไม่ถูกวิธี อาจกลายเป็นโรคข้ออักเสบเรื้อรัง และอาจจะเกิดภาวะแทรกซ้อนอื่นๆ ตามมา เช่น ไตวาย โรคไต และนิ่วในทางเดินปัสสาวะได้ โรคเกาต์แบ่งออกเป็น 3 ระยะ ระยะเฉียบพลัน มักมีอาการปวดข้อแบบเฉียบพลันทันที มักพบอาการปวดตอนกลางคืน และบริเวณเกิดอาการปวดได้บ่อย ได้แก่ หัวแม่เท้าและที่ข้อเท้า สามารถหายไปเองได้ แต่จะกลับมาปวดซ้ำๆ อีกเรื่อยๆ และมีอาการปวดแบบเป็นๆ หายๆ ระยะช่วงพัก สามารถใช้ชีวิตประจำวันหรือทำกิจวัตรประจำวันได้ปกติ โดยที่เมื่อมีอาการปวดข้อระยะเวลาที่ปวดจะสั้นลง แต่ความถี่ของอาการปวดมากจะมากกว่าระยะเฉียบพลัน และจะปวดถี่ขึ้นเรื่อยๆ ระยะเรื้อรัง คือกลุ่มผู้ป่วยที่ป่วยมานานกว่า 10 ปีขึ้นไป จะมีอาการข้ออักเสบหลายข้อ และปวดตลอดเวลา ไม่มีช่วงเว้นว่างหายสนิท และในระยะนี้มักมีปุ่มก้อนขึ้นตามข้อต่างๆ ที่ทำให้เกิดการอักเสบ โดยปุ่มเหล่านี้เกิดจากก้อนผลึกยูเรทที่มีการสะสมมากขึ้นเรื่อยๆ ในระยะเรื้อรังหากผู้ป่วยโรคเก๊าท์ไม่ได้รับการรักษาที่ถูกวิธี จะสามารถเกิดภาวะแทรกซ้อนที่ทำให้อาการของโรครุนแรงมากกว่าเดิม อย่างไรก็ตาม โรคเกาต์ไม่สามารถหายเองได้ต้องได้รับการรักษาอย่างเหมาะสม เพราะฉะนั้นหากมีอาการปวดตามข้อต่อต่างๆ ตามร่างกายอย่างกะทันหันหรือรุนแรง แนะนำให้รีบไปพบแพทย์เพื่อเข้ารับการรักษาที่ถูกวิธีต่อไป การรักษาในระยะที่มีการอักเสบเฉียบพลัน สำหรับผู้ป่วยโรคเกาต์ที่อาการอยู่ในระยะข้ออักเสบเฉียบพลัน แพทย์ส่วนใหญ่มักจะแนะนำให้หลีกเลี่ยงการบีบนวดข้อ การประคบ และควรพักการใช้ข้อ โดยวิธีรักษาโรคเกาต์ส่วนใหญ่มักจะเป็นการใช้ยารักษาอาการและบรรเทาอาการเจ็บปวด ยารักษาโรคเกาต์ ให้หายขาดที่นิยมใช้เพื่อลดอาการอักเสบ ได้แก่ ยาโคลชิซิน (Colchicine) และยาต้านการอักเสบ (NSAIDs) โดยแนะนำให้รับประทานยาโคลชิซิน 1 เม็ด (0.6 มิลลิกรัม) ทุก 4 - 6 ชั่วโมงในวันแรก และลดเหลือวันละ 2 เม็ดในวันถัดมา ส่วนใหญ่แพทย์มักจะให้ทานยาโคลชิซินประมาณ 3 - 7 วัน หรือจนกว่าอาการอักเสบจะหายดี ทั้งนี้แพทย์จะเป็นผู้พิจารณาปริมาณในการรับประทานยาแต่ละครั้งเนื่องจากผู้ป่วยบางท่านอาจจะมีปัญหาเรื่องการทำงานของไต หรือผู้ป่วยสูงใหญ่จำเป็นต้องลดปริมาณยาลดเพื่อความปลอดภัยและเพื่อบรรเทาอาการอักเสบควรเลือกใช้ยาต้านการอักเสบ (NSAIDs) ที่มีค่าครึ่งชีวิตสั้น และออกฤทธิ์เร็ว โดยแนะนำให้ทาน 3-7 วัน หรือจนกว่าอาการจะหายดี อย่างไรก็ตามยาโคลชิซิน หรือยาต้านการอักเสบ ก็จะมีผลข้างเคียง ได้แก่ ยาโคลชิซินสามารถทำให้เกิดอาการคลื่นไส้อาเจียน และยาต้านการอักเสบ (NSAIDs) ไม่แนะนำให้ผู้ป่วยที่มีแผลในกระเพาะอาหาร การทำงานของไตบกพร่อง หรือโรคตับทานยา การรักษาเพื่อป้องกันการอักเสบซ้ำในระยะยาว การรักษาโรคส่วนใหญ่จะเป็นการรักษาเพื่อลดระดับของกรดยูริกในเลือดให้ต่ำลงมา โดยการรักษาเพื่อป้องกันการอักเสบซ้ำในระยะยาวผู้ป่วยโรคเกาต์จำเป็นต้องรับประทานยาโคลชิซินขนาด 0.6 - 1.2 มิลลิกรัมต่อวัน (ตามดุลพินิจของแพทย์) ซึ่งต้องทานจนกว่าจะตรวจไม่พบตุ่มโทฟัส และระดับกรดยูริกในเลือดต่ำกว่า 4 - 5 มิลลิกรัมต่อเดซิลิตร และไม่เกิดอาการข้ออักเสบอย่างน้อย 3 - 6 เดือน วิธีดูแลตัวเองสำหรับผู้ป่วยโรคเกาต์ ผู้ป่วยโรคเกาต์ ควรไปพบแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเพื่อเข้ารับการรักษาที่ถูกวิธี ปฏิบัติตามคำแนะนำของแพทย์อย่างเคร่งครัด หลีกเลี่ยงอาหารที่มีกรดยูริกสูง ได้แก่ เนื้อสัตว์ปีก อาหารทะเลบางชนิด และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ควบคุมน้ำหนักไม่ให้เกินเกณฑ์มาตรฐานที่กำหนด ดื่มน้ำให้มากเพื่อช่วยขับกรดยูริกออกจากร่างกายทางปัสสาวะ หากมีอาการปวดข้อเฉียบพลันแนะนำให้หลีกเลี่ยงการใช้งาน ขอบคุณข้อมูลจาก : BDMS สถานีสุขภาพ

โรคเกาท์ (Gout)

โรคเกาท์ (Gout)

โรคเกาท์ (Gout) เป็นโรคที่เกิดจากการมีกรดยูริคในเลือดสูงมาเป็นเวลานาน และมีการตกตะกอนเป็นผลึกยูเรตสะสมตามเนื้อเยื่อต่าง ๆ เช่น ข้อ ทำให้เกิดข้ออักเสบ ,ไต ทำให้เกิดนิ่วในไตและไตวาย สาเหตุ -อาหารที่รับประทาน เช่น เครื่องในสัตว์ เนื้อสัตว์ปีก ผักรับประทานยอด แตงกวา เป็นต้น -การสลายตัวของเซลล์ในร่างกาย อาการและอาการแสดง แบ่งเป็น 4 ระยะ ระยะที่ไม่มีอาการ แต่พบระดับยูริคในเลือดสูงกว่าปกติ ระยะที่มีอาการอักเสบของข้อ มักทำให้ปวดข้อรุนแรงที่นิ้วหัวแม่เท้า ส้นเท้า ข้อเข่า นิ้วมือและข้อมือ โดยเฉพาะนิ้วหัวแม่เท้าจะปวดมาก บริเวณข้อที่ปวดมักจะแดงร้อน บวมตึง ระยะที่อาการสงบ เป็นระยะที่มีอาการเจ็บปวดหรืออักเสบ แต่ระดับกรดยูริคในเลือดยังคงสูง ระยะเรื้อรัง เป็นระยะที่มีอาการอักเสบและปวดของข้ออยู่เรื่อย ๆ เนื่องจากมีผลึกยูเรตสะสมอยู่ในกระดูกอ่อนของข้อกระดูกโดยรอบเป็นจำนวนมาก การรักษา รักษาด้วยยา หลีกเลี่ยงการเกิดภาวะเครียดทางจิตใจ การพักข้อกระดูกที่ปวด การควบคุมอาหาร ข้อปฏิบัติตัวสำหรับผู้ป่วยโรคเกาท์ ควรดื่มน้ำอย่างน้อยวันละ 2-3 ลิตร เพื่อป้องกันมิให้เกิดนิ่วในไต ในบุคคลที่ไม่มีข้อจำกัดเรื่องดื่มน้ำ หากมีภาวะอ้วน ควรลดน้ำหนักลงทีละน้อย เพราะอาจมีการสลายเซลล์ในร่างกายรวดเร็วทำให้มีระดับยูริคที่สูงขึ้นได้ ควรงดอาหารที่ทำให้อาการกำเริบ ได้แก่ เหล้า เบียร์ และอาหารที่มีสารพิวรีนสูง เช่น เครื่องในสัตว์ทุกชนิด เนื้อหมู เนื้อวัว กุ้ง หอย กุนเชียง ไส้กรอก สัตว์ปีก ถั่ว ชะอม กระถิน เป็นต้น รับประทานยาต่าง ๆ ภายใต้การดูแลของแพทย์โดยเฉพาะยาที่มีผลต่อโรค เช่น แอสไพริน ยาขับปัสสาวะ ไทอาไซด์ เพราะอาจทำให้ร่างกายขับกรดยูริคได้น้อย ติดต่อสอบถามเพิ่มเตอมได้ที่ ศูนย์ศัลยกรรม โรงพยาบาลกรุงเทพจันทบุรี 039-319860